โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและผู้ป่วยโรคเบาหวาน ประจำปี 2565
ชื่อโครงการ | โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและผู้ป่วยโรคเบาหวาน ประจำปี 2565 |
รหัสโครงการ | |
ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข |
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต. |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิบงบารู |
วันที่อนุมัติ | 12 เมษายน 2565 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 3 พฤษภาคม 2565 - 30 กันยายน 2565 |
กำหนดวันส่งรายงาน | |
งบประมาณ | 36,750.00 บาท |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นางยูไวรียะ ยูนุ๊ |
พี่เลี้ยงโครงการ | |
พื้นที่ดำเนินการ | ตำบลสะเตงนอก อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา |
ละติจูด-ลองจิจูด | place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
---|---|---|
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
กลุ่มวัยทำงาน | 150 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มวัยทำงาน : |
||
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคซึ่งทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากตัวเลขของผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงทั้งสิ้น 189 ล้านคน และคาดว่าในอีก 20 ปี ข้างหน้าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นถึง 324 ล้านคน ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิตสูงได้ไม่ดี และส่วนใหญ่เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง และโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ อีกทั้งยังพบว่า อายุเฉลี่ยของการเริ่มต้นป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงนั้นน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และความเครียดจากการทำงาน โรคความดันโลหิตสูงนอกจากจะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายแล้ว ยังเชื่อมโยงไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคคือ “พันธุกรรม” และ “สิ่งแวดล้อม” ในส่วนของพันธุกรรมนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ขณะที่สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์แม่ แม้พันธุกรรมจะเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ แต่ก็สามารถควบคุมปัจจัยเรื่องอาหารและสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการเกิดโรคดังกล่าวได้ มีผลการวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า การควบคุมอาหารอย่างดี รวมถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลโดยตรงต่อการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงสูงทางพันธุกรรม อีกทั้งยังเป็นการควบคุมโรค และป้องกันโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเพราะการควบคุมอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ให้สูงได้ ในปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิบงบารู สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดี ร้อยละ 79.57 ซึ่งถือว่ายังควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดี แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิบงบารู ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการควบคุมระดับความดันโลหิตสูงให้ครอบคลุมกลุ่มป่วยทุกคน ดังกล่าว จึงได้จัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ประจำปี 2565 ขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูงเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลตนเองให้ถูกต้อง เหมาะสม และสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วย
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี |
---|
hourglass_emptyไม่มีกลุ่มกิจกรรม | กลุ่มเป้าหมาย (คน) |
งบกิจกรรม (บาท) |
ทำแล้ว |
ใช้จ่ายแล้ว (บาท) |
||
วันที่ | กิจกรรม | 0 | 36,750.00 | 1 | 36,750.00 | |
14 - 16 ก.ย. 65 | อบรมให้ความรู้ | 0 | 36,750.00 | ✔ | 36,750.00 |
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน มีความรู้ ความเข้าใจ ในการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตและระดับน้ำตาลได้ดี มากกว่าร้อยละ 50
- อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยลดลง
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2565 14:35 น.