กองทุนสุขภาพตำบล - กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น - กปท

3 มีนาคม 2566 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันที่ 4 มีนาคมของทุกปีเป็นวันอ้วนโลก (World Obesity Day) โดยในปี 2566 สหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ได้กำหนดประเด็นรณรงค์ คือ Changing perspectives: Let ่s talk aboout obesity: ปรับเปลี่ยนมุมมองโรคอ้วนคุยกันได้ มุ่งเน้นการเสริมสร้างความตระหนักรู้และการสื่อสารเกี่ยวกับโรคอ้วนให้กับประชาชน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสื่อสารความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคอ้วน การป้องกันและการจักการโรคอ้วนในสังคมไทย ปัจจุบันโรคอ้วนมีแน้วโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้ในเด็กและผู้ใหญ่ ในปี 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ประเทศไทย พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นจาก ร้อย 8.8 ในปี 2561 เพิ่มเป็น ร้อวยละ 9.2 ในปี 2562 ส่วนเด็กอายุ 6-14 ปี จากฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบเด็กมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 11.7 ในปี 2564 ส่วนวัยผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป มีเเนวโน้มอ้วนมากขึ้น จากคลังข้อมูลสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข (HDC) พบว่าเป็นโรคอ้วนหรือดัชนีมีมวลการตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/เมตร2 มากถึง ร้อยละ 45.6 ในปี 2563 และเพิ่มเป็นร้อยละ 46.2 ในปี 2564 และร้อยละ 46.6 ในปี 2565 ซึ่งเป้าหมายของประชาประเทศไทยมุ่งลดภาวะร้ำหนักเกินและโรคอ้วน ในเด็กไม่ควรเกินร้อยละ 10 และควบคุมผู้ใหญ่อ้วนไม่ให้เกิด 1 ใน 3 โดยเกณฑ์ของโรคอ้วนในคนไทยสำหรับผู้ใหญ่ อายุ 20 ปีขึ้นไป จะพิจารณาจากค่าดัชนีมวลกายหรือ BML (Boby mass index) คิดไก้จาก น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง โดยค่า BMI 23-24.90 แสดงถึงน้ำหนักเกิน เเละ ค่า MBI 25 ขึ้นไปเเสดงถึงโรคอ้วน สำหรับเด็กจะพิจารณาจากกราฟมาตรฐานการเติมโตเด็กซึ่งจะเเตกต่างตามอายุของ 0-5 ปี เเละ 6-19 ปี โดยโรคอ้วนควรป้องกันตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก เพราะโรคอ้วนในเด็กจะส่งผล เช่น ขาโก่ง นอนกรน ระบบหายใจ หัวใจ พัฒนาการ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเอนซีดีในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งข้อมูลของ WHO ยืนยัยว่าโรคอ้วนในวัยเด็กนั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่การตายก่อนวัยอันควรและภาวะทุพพลภาพ สาเหตุหลักของการเกิดโรคอ้วน คือ ความไม่สมดุลของพลังงานจากอาหารที่รับประทาน เข้าไปกับใช้งานพลังงานจากร่างกาย ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อ ได้เเก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อ และโรคมะเร็งบางชนิด ดังนั้น ประชาชนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันและจัดการโรคอ้วนและโรคเรื้อรังหลายชนิดได้ด้วยการจัำกัดปริมาณอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืช และเพิ่มกิจกรรมทางกาย   จากข้อมูลดังกล่าว อสม.ในพื้นที่ของ รพ.สต.เกาะสะท้อน พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานในเขตรับผิดชอบ รพ.สต เกาะสะท้อนมากกว่า ร้อยละ 82 มีภาวะโรคอ้วน และแนวโน้ม ที่ประชาชนในพื้นที่ จะอ้วนมากขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มป่วยด้วย ให้บริโภทอาหารและออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย จึงได้จัดทำ โครงการ รณรงค์ลดกินแป้งและน้ำตาล ปี2567 ขึ้น