โครงการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี รพ.สต.คูหาใต้ ประจำปีงบประมาณ 2568
ชื่อโครงการ | โครงการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี รพ.สต.คูหาใต้ ประจำปีงบประมาณ 2568 |
รหัสโครงการ | 68-L8402-1-29 |
ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข |
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต. |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคูหาใต้ |
วันที่อนุมัติ | 14 สิงหาคม 2568 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 1 สิงหาคม 2568 - 30 กันยายน 2568 |
กำหนดวันส่งรายงาน | |
งบประมาณ | 22,875.00 บาท |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นางเจริญศรี เมืองแก้ว |
พี่เลี้ยงโครงการ | |
พื้นที่ดำเนินการ | ตำบลคูหาใต้ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา |
ละติจูด-ลองจิจูด | 7.173,100.263place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
---|---|---|
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
กลุ่มวัยทำงาน | 72 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มวัยทำงาน : |
||
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ | ||
กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง | 600 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง : |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
ไวรัสตับอักเสบบีและซีเป็นโรคที่สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไม่รู้ตัวและไม่สามารถดำเนินการป้องกันหรือรักษาได้ทันเวลา การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการค้นพบผู้ติดเชื้อแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สามารถเข้ารับการรักษาและติดตามผลได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดภาระโรคในระยะยาวและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ไวรัสตับอักเสบบีและซีมีการแพร่ระบาดในบางกลุ่มประชากร เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้เข็มฉีดยาหรือผู้ที่มีประวัติการรับเลือดจากการบริจาคในอดีต ซึ่งทำให้ไวรัสสามารถแพร่กระจายไปในชุมชนได้อย่างรวดเร็ว การตรวจคัดกรอง สามารถช่วยลดการแพร่ระบาดและช่วยระบุผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีบางรายอาจไม่แสดงอาการหรือมีอาการเบื้องต้นที่ไม่ชัดเจน ทำให้การตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่สำคัญในการค้นหาผู้ติดเชื้อในระยะเริ่มต้น ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตับแข็งและมะเร็งตับ การตรวจพบไวรัสตับอักเสบบีและซีในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสในการหายขาดหรือควบคุมอาการได้ นอกจากนี้การรักษาและติดตามผลยังช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน การคัดกรองและการรักษาไวรัสตับอักเสบบีและซีตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดภาระทางการแพทย์และการรักษาผู้ป่วยระยะยาวในระบบสาธารณสุข
โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) และไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis C) ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย เนื่องจากไวรัสทั้งสองชนิดสามารถทำให้เกิดโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) สามารถแพร่ระบาดได้ผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และการรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดที่ไม่ผ่านการตรวจกรอง อัตราการติดเชื้อตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณ 296 ล้านคนทั่วโลกมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในปี 2020 โดยจำนวนนี้ยังคงมีผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษาและในประเทศไทย การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีการแพร่ระบาดในบางกลุ่มประชากร เช่น กลุ่มผู้ใช้สารเสพติดทางหลอดเลือด (ผู้ฉีดสารเสพติด) และผู้ที่รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดในอดีต อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้มีการรณรงค์และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีในเด็ก และมีการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง ซึ่งช่วยลดอัตราการติดเชื้อในประชากรไวรัสตับอักเสบบีซี (Hepatitis C) มีการแพร่ระบาดส่วนใหญ่ผ่านการสัมผัสกับเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ไม่ผ่านการตรวจกรอง และการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่สะอาด อัตราการติดเชื้อตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2020 มีประมาณ 58 ล้านคนทั่วโลกที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรังและยังไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือการรักษา และในประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซีในระดับปานกลางถึงสูง และกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญคือผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันและผู้ที่มีประวัติการรับเลือดหรือการผ่าตัดในอดีต นอกจากนี้ ยังมีการพบการติดเชื้อในผู้ที่ได้รับการตรวจคัดกรองในกลุ่มผู้สูงอายุที่เคยได้รับการรักษาด้วยเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจกรองในอดีต
แม้ว่าไวรัสตับอักเสบบีและซีจะมีความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่การตรวจคัดกรองที่ถูกต้องและการเข้าถึงการรักษาได้อย่างทันท่วงทีเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมโรค และช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคูหาใต้ จึงเห็นความสำคัญการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี จึงได้จัดทำโครงการโครงการตรวจคัตกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี เพื่อตรวจคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อและความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
---|---|---|---|
1 | 1 เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ในชุมชน
|
25.00 | |
2 | 2 เพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี และซี
|
80.00 | |
3 | 3 เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี
|
100.00 |
รวมทั้งสิ้น | 0 | 0.00 | 0 | 0.00 | 0.00 |
๑. ขั้นเตรียมการ
๑.๑ เก็บรวบรวมข้อมูล สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ตับแข็ง และมะเร็งตับ
1.2 กำหนดกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ผู้ที่เกิดก่อน พ.ศ. 2535
๑.3 เขียนโครงการเพื่อพิจารณาอนุมัติของบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ
๑.4 เตรียมเอกสาร สื่อความรู้ และอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับตรวจคัดกรอง
๒. ขั้นดำเนินการ
๒.๑ ส่งหนังสือเชิญประชุม อสม. รพ.สต.คูหาใต้ เพื่อชี้แจงปัญหา วางแผนงานกิจกรรม และอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี และซี
๒.๒ ประชุมชี้แจงปัญหา ชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจกรรมโครงการ และอบรมให้ความรู้
๒.3 ประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อออนไลน์ โปสเตอร์ และแผ่นพับความรู้
2.4 ส่งใบนัดการตรวจคัดกรองแก่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่
2.5 ดำเนินกิจกรรมการตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคูหาใต้ และในพื้นที่หมู่บ้านหมู่ที่ 1,6,11 และ 13 ตำบลคูหาใต้ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา
2.6 ให้คำแนะนำแก่ผู้คัดกรองเกี่ยวกับผลการตรวจและกรณีผลพบเชื้อ
2.7 ประสานโรงพยาบาล กรณีตรวจคัดกรอง ผลพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซี เพื่อตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ และการรักษาในขั้นตอนถัดไป
2.8 ติดตามผลและอาการผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซี
2.9 เก็บรวบรวมข้อมูลผู้เข้าร่วมคัดกรอง ผู้ผลพบเชื้อ และผู้ที่รักษา
๓ สรุปผลการดำเนินโครงการ
- สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อในระยะแรกๆ ทำให้เข้ารับการรักษาที่เหมาะสม
- ลดอัตราการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
- ลดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบบี และซี ในชุมชน
- การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 09:50 น.