กองทุนสุขภาพตำบล - กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น - กปท

โรคป้องกันด้วยวัควีนเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญในอดีต ในปี พ.ศ. 2520 กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มใช้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคระดับประเทศ ทำให้อุบัติการณ์ของโรคคอตีบลดลงอยา่งต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าอุบัติการณ์ของโรคคอตีบจะลดลงอย่างมากเมือเทียบกับในอดีต แต่ยังคงพบรายงานการระบาดของโรคคอตีบอยู่เสมอ เช่น บริเวณที่ติดกับชายแดนระหว่างประเทศ บริเวณที่มีความยากลำบากในการดำเนินงานสรา้งเสริมภูมิคุ้มกันโรค รวมถึงในประชากรกลุ่มอายุที่คาดว่าจะไม่ได้รับวัคซีนในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งเหตุการณ์การระบาดเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการระบาดขยายกว้าง การจัดการเพื่อความควบคุมการระบาดให้รวดเร็วที่สุด และเตรียมความพร้อมป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในพื้นที่อื่นจึงมีความจำเป็นอย่างสูงซึ่งโรคคอตีบเป็นโรคที่พบการระบาดเป็นช่วงๆโดยตั้งแต่ปี 2520 ผู้ป่วยโรคคอตีบมีจำนวนลดลงจาก 2290 ราย เหลือไม่เกินปีละ 10 ราย ในช่วงที่มีการระบาดในปี 2548-2551 แต่หลังจากปี 2552-2555 จำนวนผู้ป่วยกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12-77 ราย โดยในช่วงที่มีการระบาดในปี 2555 มีผู้ป่วยจำนวน 63 ราย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้วัคซีนเพื่อควบคุมการระบาดของโรคคอตีบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นผู้ป่วยเริ่มลดลงเหลือ 29 รายในปี 2556 ส่วนปีนี้ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ณ วันที่ 13 มีนาคม 2557 มีผู้ป่วยจำนวน 4 ราย เสียชีวิต 1 ราย ด้วยสถานการณ์ผุ้ป่วยคอตีบที่ไม่แน่นอน และยังมีตัวเลขขึ้นลงตลอด ซึ่งการระบาดในแต่ละครั้งของโรคคอตีบมักจะพบในเด็กที่ยังไม่ได้วัคซีนหรือยังได้วัคซีนไม่ครบ และในกลุ่มคนที่มีประวัติได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วนหรือไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้นในเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ทำให้ไม่มีภูมอคุ้มกันที่จะป้องกันโรคได้ โดยเมือปลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้เกิดการระบาดของโรคคอตีบ โดยพบมากที่สุดในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและรอลงมาคือทางภาคใต้ ถึงแม้ว่าอัตราการพบผุ้ติดเชื้อจะเหลือเพียงไม่กี่ราย แต่โรคคอตีบเป็นโรคที่รุนแรง โดยในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี และในผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 40 ปี จะมีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนย้ายเข้ามาของแรงงานอพยพจากหลายพื้นที่ทั้งแรงงานตา่งด้าวและแรงงานจากภูมิภาคอื่นของประเทศ ทำให้กลุ่มเด็กที่ย้ายตามผู้แปกครองจึงไม่ได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนตามเกณฑ์หรือมีบางส่วนไม่ได้รับวัคซีนเลย ในเขตของพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสันติ 2 อำเภอธารโต จังหวัดยะลา พบว่า ในเขตพื้นที่อำเภอธารโตมีเด็กป่วยด้วยโรคไอกรน 1 ราย และพื้นที่ใกล้เคียงเช่น เบตง ได้มีเด็กป่วยโรคไอกรน 4 ราย ประกอบกับเป็นพื้นที่ชายแดนที่การเข้า ออกของเด็กต่างถิ่นโอกาสที่จะสัมผัสและระบาดได้สูง และจากการรดำเนินงานพบว่าเด็กที่มีอายุ 1 ปี ครึ่ง 5 ปี มีอัตราการรับวัคซีนต่ำ ไม่ครอบคลุมเป้าหมาย และยังพบว่าเด็กมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์และน้ำหนักค่อนข้างน้อยมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเร่งรัดและกระตุ้นให้ผู้ปกครองมีความความตระหนักเห็นความสำคัญ เพื่อให้เด็กได้รับวัคซีนครอบคลุมกลุ่มเป้ามหาย น้ำหนักตามเกณฑ์และพัฒฯาการสมวัย ลดอัตราการป่วยฟหรือตายจากโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพความสมบูรณ์ทั้งทางสติปัญญา ร่างกายที่ดีและแข็งแรงมีคุณภาพชีวิตดีในอนาคตต่อไป