เข้าใจ เข้าถึง ซึ่งวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทุกกลุ่มวัย ปี 2567
ชื่อโครงการ | เข้าใจ เข้าถึง ซึ่งวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทุกกลุ่มวัย ปี 2567 |
รหัสโครงการ | |
ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข |
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต. |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | คลินิกชุมชนโคกเมา |
วันที่อนุมัติ | 26 ธันวาคม 2566 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 1 มกราคม 2567 - 30 กันยายน 2567 |
กำหนดวันส่งรายงาน | |
งบประมาณ | 20,000.00 บาท |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นายสุริยะ สุพงษ์ |
พี่เลี้ยงโครงการ | |
พื้นที่ดำเนินการ | ตำบลท่าช้าง อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา |
ละติจูด-ลองจิจูด | 7.04528215,100.3926905place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
---|---|---|
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ | ||
กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง | 30 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง : |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
วัคซีนเป็นชีววัตถุที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ประเทศไทยมีการใช้วัคซีนมาเป็นเวลายาวนานเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน โดยมีพัฒนาการให้บริการอย่างทั่วถึง ครอบคลุม ประชากรกลุ่มเป้าหมาย และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับคุณภาพของวัคซีนที่นำมาใช้ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับ วัคซีนที่มีคุณภาพ สามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันได้สูงพอที่จะป้องกันโรคได้ การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน เป็นกลวิธีป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูง และมีความคุ้มค่า มากที่สุด ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย ได้ใช้การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเป็นเครื่องมือป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อที่เป็นปัญหาสำคัญอย่างได้ผลดียิ่ง เช่น วัณโรค คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ไวรัส ตับอักเสบบี หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สมองอักเสบเจอี และพิษสุนัขบ้า เป็นต้นในปัจจุบันงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคมีวัคซีนพื้นฐานที่ให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย มี 12 โรค ได้แก่ วัณโรค ตับอักเสบชนิดบี ไอกรน คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ไข้สมองอักเสบ เจอี หัด หัดเยอรมัน คางทูม มะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ (DTP-HB-Hib)
เมื่อปี 2563 กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มการให้วัคซีนป้องกันโรคลำดับที่ 13 ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ คือ วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า ในปี พ.ศ 2564 ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 และปี พ.ศ 2566 สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ได้ทบทวนข้อมูลวิชาการ ได้มีแผนปรับปรุงเปลี่ยนวัคซีนโปลีโอ แบบหยอด (OPV) เป็นวัคซีนโปลีโอแบบฉีด (IPV) ที่ผ่านมาปัญหาคือผู้ปกครองจะไม่ยินยอมให้เด็กนักเรียนกลุ่มเป้าหมายรับวัคซีนขั้นพื้นฐานดังกล่าวประมาณ 5.78% ซึ่งคลินิกชุมชนโคกเมาได้เล็งเห็น ความสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันควบคุมโรคติดต่อด้วยวัคซีนแก่เด็กวัยเรียน จึงจัดทำโครงการนี้ขึ้น เพื่อให้โรงเรียนเป็นเครือข่ายในการสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปกครองเด็กกลุ่มเป้าหมายในโรงเรียน เพื่อให้เด็กนักเรียนได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 100 อันจะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้เด็กไทยห่างไกลจากโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นกำลังสำคัญที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้เข้มแข็งสืบไป
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
---|---|---|---|
1 | เพื่อให้ อสม. มีความรู้เกี่ยวกับวัคซีนตามเกณฑ์ วัคซีนโรคอุบัติใหม่ และวัคซีนช่วงรณรงค์ เพื่อสามารถกระจายความรู้ในชุมชนได้ ร้อยละ 90 อสม. มีความรู้เกี่ยวกับวัคซีนตามเกณฑ์ วัคซีนโรคอุบัติใหม่ และวัคซีนช่วงรณรงค์ |
||
2 | เพื่อให้ผู้ปกครอง และนักเรียนประถมมีความรู้เกี่ยวกับวัคซีนโรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ และได้รับวัคซีนตามเป้าหมาย ร้อยละ 90 นักเรียนโรงเรียนบ้านโคกเมา รับวัคซีนนักเรียนตามเป้าหมาย |
กิจกรรมที่1 อบรมพัฒนาศักยภาพมาตรฐานงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน ให้กับ อสม. หมู่ 7, 11 ,12 ตำบลท่าช้าง ในเขตรับผิดชอบคลินิกชุมชน
โคกเมา
กิจกรรมที่ 2 อบรมให้ความรู้กับผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนประถม
รณรงค์ฉีดวัคซีน HPV ในนักเรียนป.5
- อสม. มีความรู้เกี่ยวกับวัคซีนตามเกณฑ์และวัคซีนช่วงรณรงค์
- ผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนประถม และให้ความสำคัญของวัคซีนตามเกณฑ์
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2567 13:15 น.