กองทุนสุขภาพตำบล - กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น - กปท

stars
1. รายละเอียดโครงการ
ชื่อโครงการ โครงการพัฒนาศักยภาพสมองในผู้สูงอายุที่มีภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย (ประเภทที่ 1)
รหัสโครงการ 68-L7884-1-15
ประเภทการสนับสนุน ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต.
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ งานผู้สูงอายุ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลปัตตานี
วันที่อนุมัติ 30 มกราคม 2568
ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 กุมภาพันธ์ 2568 - 31 สิงหาคม 2568
กำหนดวันส่งรายงาน
งบประมาณ 43,520.00 บาท
ผู้รับผิดชอบโครงการ นางสาวฎารตา จินดารัตน์
พี่เลี้ยงโครงการ
พื้นที่ดำเนินการ ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
ละติจูด-ลองจิจูด place
stars
2. ความสอดคล้องกับแผนงาน
แผนงานผู้สูงอายุ
stars
3. งวดสำหรับการทำรายงาน
stars
4. กลุ่มเป้าหมาย

(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)

กลุ่มเป้าหมายจำนวน(คน)
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ
stars
5. หลักการและเหตุผล/สถานการณ์
สถานการณ์ปัญหาขนาด

ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล

ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดยมีประชากรสูงอายุร้อยละ 10.4 (7.2ล้านคน) ในปี 2561 ปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 17.5 (7.2ล้านคน) ในปี 2561 ปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 17.5 (11.6 ล้านคน) และปี 2562 จะเป็นครั้งแรกที่ประเทสไทยมีประชากีผู้สูงอายุมากกว่าวัยเด็กในอนาคตอันใกล้ประชากรผู้สุงอายุจะเพิ่มขึ้นอีกมาก และประเทสไทยจะกรายเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ในปี พ.ศ. 2564 และคาดว่าในปี พ.ศ. 2574 ก็จะกรายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aged Society) คือ มีประชากรผู้สูงอายุ ร้อยละ 28 ทั้งนี้ ผู้สูงอายุจะมีความเสื่อมถอยของร่างกายรวมทั้งความสามรถในการจดจำการรับรู้ จนสูญเสียความสามารถทางสมอง จะมีการดำเนินโรคกรายเป็นโรคอัลไซเมอร์ อยู่ที่ร้อยละ 6 -15 ปี (สถาบันเวชศาสตร์ฯ,2561) ภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อยเจอได้บ่อยมากในผู้สุงอายุ ซึ่งความชุกของภาวะนี้จะสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น โดยพบความชุกร้อยละ 6.7 ในกลุ่มอายุ 60- 64 ปี,ร้อยละ 8.4 ในกลุ่มอายุ 65-69 ปี ,ร้อยละ 10.1 ในกลุ่มอายุ 70-74 ปี ร้อยละ 14.8 ในกลุ่มอายุ 75-79 ปี และร้อยละ 25.2 ปี ในกลุ่มอายุ 80-84 ปี และมีอุบัติการณ์ที่มีภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อย ที่อายุมากกว่า 65 ปี เมื่อติดตามไปเป็นระยะเวลา 2 ปี มีโอกาสในการเกิดภาวะสมองเสื่อมอยู่ที่ร้อยละ 14.9 (ภรัญวิทย์ อนันต์ดิลฤทธิ์,2566) ภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยเป็นความผิดปกติที่อยู่ระหว่าง ภาวะสมองเสื่อมกับการหลงลืมตามปกติของผู้สูงอายุ เกิดจากภาวะถดถอยในการทำงานของสมอง จากการสูญเสียเซลล์ประสาท โดยเริ่มจากส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจึงลุกลามไปยังสมองส่วนอื่นๆ ความเสื่อมถอยนี้จะดำเนินไปอย่างช้าๆแบบค่อยเป็นค่อยไป วึ่งอาจใช้เวลานานหลายปี ความผิดปกติจะปรากฎจนสังเกตได้ เมื่อเซลล์ประสาทในสมองที่มีบทบาทสำคัญในการจดจำข้อมูลต่างๆถูกทำลายลง อาการสำคัญที่มีภาวะการรุ้คิดบกพร่องเล็กน้อยจึงเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับความจำจนนำมาสู่ภาวะสมองเสื่อม ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันการรักษาภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยมีทั้งวิธีการใช้ยาและวิธีการที่ไม่ใช้ยา ซึ่งวิธีการที่ไม่ใช้ยามีหลายวิธี เช่น การฝึกจำ การฝึกการรู้คิด การบำบัดด้วยกิจกรรม วิธีเหล่านี้เป็นวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทางสมอง ช่วยสร้างความสมดุลให้กับสมองช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ประสาทสมองขึ้นมาใหม่ หรือการเชื่อมต่อกันของเซลล์ประสาทอย่างแข็งแรงและมีประสิทธิภาพเป็นการชะลอและป้องกันไม่ให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้ แนวคิดการกระตุ้นการรู้คิด การฝึกจำ เพื่อการบำบัดรักษาผู้ที่มีภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาด้วย   ปัจจุบันทางการดูแลรักษาภาวการณ์รุ้คิดบกพร่องมีหลายวิธีทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา การกระตุ้นสมองเป็นส่วนหนึ่งในรูปแบบของการดูแลแบบไม่ใช้ยา ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะการรู้คิดบกพร่อง เนื่องจากช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้ โดยแนวทางเวชปฎิบัติภาวะสมองเสื่อม Neurological lnstitute of Thailand (2014) ได้มีการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบำบัดสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ไว้หลายรูปแบบ เช่น การรักษาที่เน้นเรื่องอารมณ์ (Emotion-oriented) การรักษาที่เน้นปรับพฤติกรรม (Behavior oriented) การรักษาที่เน้นผู้ดูแล (Caregiver-oriented) การรักษาที่เน้นการกระตุ้น (Stimulation-oriented) การใช้ศิลปะบำบัด (Art therapy) การรักษาที่เน้นการรู้คิด (Cognition-oriented) การบำบัดโดยการรรับรู้ความเป็นจริง (Realition oriention ) ดารระลึกความหลัง (Reminiscence therapy) เป็นต้น การเลือกใช้รูปแบบในการบำบัดจำเป็นต้องคำนึงถึงระดับความรุนแรงของโรคและขีดความสามารถในการเรียนรู้ของผู้ป่วยเป็นหลักโดยในผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย จัดอยู่ในระยะความรุนแรงของโรคในระยะเริ่มต้น การดูแลและบำบัดที่เหมาะสมจึงเป็นการบำบัดแบบป้องกันเชิงรุกมากกว่าการฟื้นฟูรักษามีวัตถุประสงค์หลักเพื่อชะลอไม่ให้ดำเนินโรคเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อม รวมทั้งอาจช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับมามีการรู้คิดที่ปกติตามวัยได้   จากประสบการณ์ทำงานผู้สุงอายุ ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา ผู้สูงอายุที่ได้รับกสนคัดกรองด้วยแบบประเมินสมรรถภาพสมอง Mini-Cog แล้วพบว่า ผู้สุงอายุที่มีปัญหาด้านความจำเข้าคลินิกกผู้สุงอายุโรงพยาบาลปัตตานี เพื่อคัดแยกผู้สูงอายุที่สงสัยมีภาวการณ์รุ้คิดบกพร่องเล็กน้อน กับผู้สูงอายุที่สงสัยมีภาวะสมองเสื่อมด้วยเครื่องมือ MMSE-Thai2002 (Mini-mentat State Exmination) และเครื่องมือ MoCA (Montreal Assessment) กลุ่มที่มีคะแนน ˂ 25 คะแนน ถือเป็นผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อย คิดเป็นร้อยละ 29.81 (31/104) ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานีคิดเป็นร้อยละ 30.30 (10/33) จำเป็นที่ต้องได้รับการฝึกกระตุ้นสมอง ด้วยคู่มือพัฒนาศักยภาพในผู้สูงอายุที่มีการรุ้คิดบกพร่องเล็กน้อย สำหรับประชาชนของสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุกรมการแแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขจากการทดลองใช้เครื่องมือดังกล่าวในคลินิกผู้สุงอายุในโรงพยาบาลปัตตานี เป็นระยะเวลา 3 ปี พบว่ามีปัญหาในการทำกิจกรรม เนื่องจากแบบประเมินมีจำนวนข้อคำถามเยอะมากใช้ระยะเวลานาน นอกจากนี้ผู้สูงอายุในพื้นที่ส่วนใหญ่จบการศึกษา ปีที่ 4 ส่งผลให้อ่านหนังสือไม่ได้หรืออ่านหนังสือได้เล็กน้อยบางส่วนมีปัญหาด้านการมองเห็นและการสื่อสารทำให้ผู้สุงอายุเกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้ในการทำกิจกรรม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจและไม่สามารถทำกิจกรรมได้ทั้งหมด ทีมสุขภาพทั้งแพทย์และพยาบาลในคลินิกผู้สุงอายุ โรงพยาบาลปัตตานีจึงได้มีการประชุมปรึกษาหารือในการจัดทำกิจกรรมเนื่องจากลักษณะคำถามบางข้อไม่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่โดยยังคงรูปแบบการกระตุ้นความสามารถของสมองในผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยของสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญานสังวรเพื่อผู้สูงอายุกรมการแพทย์อย่างเป็นระบบ 4 ด้าน 1.ด้านความสนใจใส่ใจ 2. ด้านความจำ 3. ด้านมิติสัมพันธ์ 4. ด้านการคิด การตัดสินใจ บริหารจัดการ ในฐานะเป็นพยาบาลทีมสุขภาพในคลินิกผู้สูงอายุโรงพยาบาลปัตตานี ตระหนักและเห็นความสำคัญในากรจัดทำกิจกรรมในรูปแบบเกม เพื่อเป็นการกระตุ้นสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของชุมชน ซึ่งผู้สูงอายุในชุมชนส่วนใหญ่ใช้มือถือในการโทรศัพท์เท่านั้นไม่สามารถใช้มือถือในการเล่นเกมที่บ้านเพื่อกระตุ้นสมองได้ การให้ผู้สูงอายุฝึกกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอที่บ้าน จะช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ประสาทสมองขึ้นมาใหม่คงไว้ซึ่งการทำงานของเซลล์ประสาทสมองให้เชื่อมต่อกันอย่างแข็งแรงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางการส่งเสริมความจำการรับรู้และการตัดสินใจของผู้สูงอายุ การประเมินความทรงจำของผุ้สูงอายุ หลังการเล่นเกมฝึกสมอง ด้วยเครื่องมือแบบทดสอบประเมินภาวะสมอง MoCA (Montreal Cognitive Assessment) ซ้ำอีกครั้งของสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุกรมการแพทย์เพื่อชะลอหรือป้องกันการเปลี่ยนแปลงหรือลดอัตราการเกิดปัญหาของความจำเป็นที่เสื่อมถอยเพื่อให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่อนคลายคงามเครียด ขจัดความนึกคิดต่างๆที่เป็นเหตุให้สมองเกิดความวุ่นวายฟุ้งซ่านซึ่งเป็นการช่วยให้สมองได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอปรับปรุงแก้ไขการทำงานของเส้นประสาทต่างๆ ในสมองให้กลับสู่สภาพสมดุลได้ ลดอาการหรือความผิดปกติที่จะเกิดจากประสิทธิภาพการทำงานของสมองที่เสื่อมถอยลงคืนประสิทะิภาพสมบูรณ์สามารถชะลอหรือลดอัตราการเกิดปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านความจำในผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงได้เล็งเห็นว่าการส่งเสริมความจำด้วยการกระตุ้นสมองด้วยการเล่นเกม เป็นกระบวนการเชิงโครงสร้างที่เริ่มตั้งแต่การรับข้อมูลการบันทึกข้อมูลและการและการเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้เป็นลักษณะที่ต่อเนื่องกันเพื่อคงไว้ซึ่งข้อมูลที่ได้รับและสามารถนำกลับมาใช้หรือระลึกถึงเรื่องราวนั้นได้เมื่อต้องการร่วมกับกลยุทธ์ในการช่วยจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจำมากเป็นสิ่งที่จำเป็นกับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อย จึงได้พัฒนากิจกรรมในรูปแบบกิจกรรมเกมดังกล่าว   ดังนั้นงานผู้สูงอายุ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โีงพยาบาลปัตตานี ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อย และเพื่อชะลอการเกิดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุในชุมชน เป็นการให้ผู้สูงอายุแกนนำสุขภาพในชุมชน/ผู้ดูแลผู้สูงอายุฝนชุมชนมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันปัญหาสุขภาพดังกล่าวจึ่งได้จัดทโครงการนี้ขึ้น

stars
6. วัตถุประสงค์/เป้าหมาย
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จขนาดปัญหาเป้าหมาย 1 ปี
1 1. เพื่อให้ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ 3 ตำบล แกนนำสุขภาพชุมชน/ผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนมีคสามรู้ในการประเมินภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อยเบื้องต้นของผู้สูงอายุในชุมชนได้ 2. เพื่อให้ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ 3 ตำบล แกนนำสุขภาพชุมชน/ผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน มีความรู้ในการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุที่มีปัญหาภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อย 3. เพื่อลดอัตราผู้สูงอายุในชุมชนที่เกิดภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุที่จะเข้ามารักษาพยาบาลในคลินิกโรงพยาบาลปัตตานี
  1. ผู้สุงอายุในชมรมผู้สุงอายุ 3 ตำบล แกนนำสุขภาพในชุมชน/ผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน มีความรู้ความเข้าใจในการประเมินภาวการณ์รุ้คิดบกพ่องเล็กน้อยเบื้องต้นของผู้สูงอายุในชุมชน ร้อยละ 80
  2. ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ 3 ตำบล แกนนำสุขภาพชุมชน/ผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน มีความรุ้ในการพัฒนาศักยภาพสมองของผู้สูงอายุที่มีปัญหาภาวการณ์รู้คิดบกพร่องเล็กน้อย ร้อยละ 80
  3. เพื่อลดอัตราภาวะสมองเสื่อมของผู้สุงอายุในชุมขนที่จะเข้ามารับการรักษาพยาบาลในคลินิกโรงพยาบาลปัตตานีน่อยกว่าร้อยละ 10
stars
7. การดำเนินงาน/กิจกรรม
stars
8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
  1. ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ 3 ตำบล แกนนำสุขภาพในชุมชน/ผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สุงอายุที่จะนำไปสุ่ภาวะสมองเสื่อมและถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นเพื่อนำไปใช้กับผู้สูงอายุในชุมชนได้
  2. เพื่อป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมในผู้สุงอายุในชุมชน
  3. เพื่อลดอัตราภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุในชุมชนที่จะเข้ามารับการรักษาพยาบาลในคลินิกโรงพยาบาลปัตตานี
stars
9. เอกสารประกอบโครงการ

โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2568 11:35 น.