โครงการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ณ รพ.สต. คูหาใต้ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา
| ชื่อโครงการ | โครงการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ณ รพ.สต. คูหาใต้ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา |
| รหัสโครงการ | |
| ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข |
| หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต. |
| ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคูหาใต้ |
| วันที่อนุมัติ | 24 ตุลาคม 2568 |
| ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2569 |
| กำหนดวันส่งรายงาน | |
| งบประมาณ | 19,304.00 บาท |
| ผู้รับผิดชอบโครงการ | นางเจริญศรี เมืองแก้ว |
| พี่เลี้ยงโครงการ | |
| พื้นที่ดำเนินการ | ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา |
| ละติจูด-ลองจิจูด | 7.173,100.263place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
| กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
|---|---|---|
| กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
| กลุ่มวัยทำงาน | 12 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มวัยทำงาน : |
||
| กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ | ||
| กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง | 125 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง : |
||
| สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
|---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
โรคเบาหวาน นับเป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่ต้องให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์โรคเบาหวานทั่วโลกมีผู้ป่วยจำนวน 463 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปี 2588 จะมีผู้ป่วยเบาหวานจำนวน629 ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งหมด 16,388 คน คิดเป็นอัตราตาย 25.1 ต่อประชากร แสนคน (กระทรวงสาธารณสุข, 2564)
โดยโรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เกิดจากนิสัยพฤติกรรมการดำเนินชีวิตหรือพันธุกรรม โดยพัฒนาการของโรคนั้นจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ ค่อย ๆสะสมอาการอย่างต่อเนื่อง (WHO, 2002; สมพิศ วิริยม, 2065) เมื่อเกิดแล้วส่งผลกระทบมากมายทั้งด้านเศรษฐกิจ เช่นก่อให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาด้านสาธารณสุขอย่างมหาศาล ค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี (กระทรวงสาธารณสุข, 2564) และด้านสุขภาพ โดยเฉาะกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ ส่งผลให้เกิดภาวะโรคแทรกทางหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง ทางไต ตา ปลายประสาทเท้า ลุกลามไปยังการสูญเสียอวัยวะและการเสียชีวิตก่อนอันควร (ศิริพร จันทร์ฉาย, 2548; กระทรวงสาธารณสุข, 2564)
จากการสำรวจข้อมูลผู้ป่วยโรคเบาหวาน 3 ปี จังหวัดสงขลา (ปี2566-2568) พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีที่มีค่าระดับฮีโมโกลบิน เอวันซี (HbA1 c) มากกว่า 7 ร้อยละ X , 52.71 และ 52.10 ตามลำดับ อำเภอรัตภูมิ พบร้อยละ X , 63.75 และ 55.22 ตามลำดับ ตำบลคูหาใต้ พบร้อยละ X , 65.49 และ 53.30 ตามลำดับ (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา, 2568) จะเห็นได้ว่าตำบลคูหาใต้ มีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีสูงเมื่อเทียบกับระดับอำเภอในปี 2567และสูงกว่าจังหวัดในปี2667-2568 และยังส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อนทาง ตา เท้า ไต ซึ่งจากการสอบถามผู้ป่วยตำบลคูหาใต้ เกี่ยวกับสาเหตุที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี HBA1C> 7 พบว่า เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารเป็นหลัก เช่น การปรุงอาหารรสชาติหวาน มัน เค็ม เป็นหลัก, นิยมการบริโภคผลไม้ตามฤดูกาล (ทุเรียน,เงาะ มังคุด) เป็นต้น และพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบปริมาณการบริโภคอาหารแต่ละชนิดที่เหมาะสมสมกับดัชนีมวลกายของตนเอง จะเลือกรับประทานอาหารของประเภทและปริมาณตามความชอบของตนเองเป็นหลัก จึงไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลของตนเองได้
จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า เป้าหมายที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน คือ การควบคุมการบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยประเมินจากค่า FPG < 126 และ HbA1c < 6.5 mg./dl. อีกทั้งโรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจึงต้องอยู่กับกับโรคนี้ไปตลอดชีวิตแต่สามารถ ปรับ ลด และหยุดยาเบาหวานได้หากผู้ป่วยนั้นควบคุมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองได้ดี ดังนั้น การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามมาตรฐานและอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง (American Diabetes Association, 2017) โดยการศึกษาของ ร่มเกล้า กิจเจริญไชย (2556) ได้เสนอแนะเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ว่าควรนำโปรแกรมการจัดการตนเองเรื่องการบริโภคอาหารในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ไปใช้เพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ค่าน้ำตาลสะสม และดัชนีมวลกาย จะสามารถลดระดับน้ำตาลของผู้ป่วยได้ ทั้งนี้หากผู้เป็นเบาหวานมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองอยู่ในระดับต่ำ มีโอกาสที่จะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ (HbA1c < 6.5) น้อยกว่าผู้ป่วยเบาหวานที่พฤติกรรมการดูแลสุขภาพอยู่ในระดับสูง เป็น 0.54 เท่า (ธนวัฒน์ สุวัฒนกุล, 2561)
ปี 2568 กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง ด้วยวิธีการนับคาร์บ (Carb Counting) คือ ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคในแต่ละวัน เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาผู้ป่วยโรคเบาหวานให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและโรคเรื้อรังอื่น ๆ (กระทรวงสาธารณสุข, 2568) ซึ่งสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย (อ้างในสุภาพร สมหวัง 2560) ได้กล่าวว่า การนับคาร์โบไฮเดรต เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมมาวางแผนการควบคุมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากสารอาหารจากคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารเพิ่มสูงได้ (postprandial hyperglycemia) และพบว่าการนับคาร์โบไฮเดรตนั้นสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น นอกจากนี้การจัดการตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิดของ Kanfer, และ Creer, (อ้างใน ภารดี วรรณพงษ์และ สุทิน ใจรักษา,มปป) กล่าวว่าการนำทฤษฎีการจัดการตนเองมาปรับใช้มีผลต่อการทำให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดลดลง ซึ่งการดำเนินกิจกรรมประกอบด้วยการตั้งเป้าหมาย,การเก็บรวบรวมข้อมูล, การประมวลและการประเมินข้อมูล, การตัดสินใจ, การลงมือปฏิบัติ ,การสะท้อนตนเอง, การติดตามตนเอง
จากการดำเนินงานด้านการส่งเสริมเรื่อง NCD ของ รพ.สต.คูหาใต้ที่ผ่านมานั้น พบว่ามีการจัดการเรื่อง NCD ไม่เพียงพอ เนื่องจากมีเพียงการอบรมให้ความรู้ แจกแผ่นผับ แต่ยังขาดการติดตามการบริโภคอาหารอย่างเป็นระบบ อาจเป็นผลทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ จึงจัดทำโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารด้วยการนับคาร์บของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีการติดตามควบคู่กับการเสริมแรงทางบวก (Positive reinforcement) ตามของทฤษฎี สกินเนอร์ เสริมแรงตามระยะเวลา (Fixed Interval) เพื่อการจูงใจทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ หรือทำพฤติกรรมซ้ำ ตามที่กำหนดให้เพื่อมุ่งหวังให้ ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีต่อไป
| วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
|---|---|---|---|
| 1 | ประชาชนกลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ มีความรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการนับคาร์บ จำนวน ๙๕ ราย ประชาชนกลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ มีความรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยทีมวิทยากร ร้อยละ ๘o |
80.00 | |
| 2 | ประชาชนกลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่สมัครใจเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บ ครบ 3 เดือนตามเกณฑ์ มีค่า HBA1C ลดลง จำนวน 30 ราย ประชาชนกลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่เข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาบ ครบ 3 เดือนตามเกณฑ์ มีค่า HBA1C ลดลง ร้อยละ ๘o |
80.00 |
| รวมทั้งสิ้น | 0 | 0.00 | 0 | 0.00 | 0.00 |
ขั้นเตรียมการ
๑.สำรวจกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่รับรักษาที่ รพ.สต คูหาใต้
๒.จัดทำโครงการขออนุมัติจากกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลคูหาใต้
๓.ประชุมชี้แจงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบนโยบายและวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อให้มีความเข้าใจในแนวเดียวกัน
๔.จัดทำวางแผนการดำเนินงานการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บ
๕.ประชาสัมพันธ์โครงการเพื่อให้ประชาชนในกลุ่มเป้าหมายรับทราบ
๖.ประสานงานกับวิทยากรผู้เชียวชาญเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยการนับคาร์บ
เพื่อมาให้ความรู้กับกลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒
๗.เตรียมเอกสารให้ความรู้ แผ่นผับ และแบบทดสอบ Pre-test / Pose- Test
ขั้นดำเนินการ
๑.นำกลุ่มป่วยโรคเบาหวาน มาจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยการนับคาร์บ โดยทีมวิทยากรพร้อมกับ แจกแผ่นผับ และให้ทำแบบทดสอบสอบ Pre-test / Pose- Test
๒. เปิดรับสมัครผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บ ซึ่งโปรแกรมการนับการนับคาร์บ เราจะใช้ระยะ เวลา ๓ เดือน ในการวัดผล โดยใช้ค่า HBA1C เป็นตัวประเมิน
๒.๑ เจาะน้ำตาลสะสมในเลือดHBA1C รอบแรก ทุกคน ที่เข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บ
๒.๒ .โดยวันแรก จะมีการให้ความรู้ และสอนการใช้โปรแกรมสมุดการนับคาร์บ ควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดย ครู ก พยาบาลวิชาชีพ และครูข เป็นผู้ช่วย รวมถึง บอกข้อตกลง กฎระเบียบ และวางแผนกิจกรรมร่วมกันในกลุ่ม
๒.๓. จะมีการนัดผู้เข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร ทุกวันพุธบ่ายใน ๑ เดือนแรก หลังจากนั้นจะนัดวันพุธสปดาห์ที่ ๑ และ ๓ จนครบ ๓ เดือน โดย กิจกรรมจะมีตรวจเช็คสมุดโปรแกรมการนับคาร์บทุกครั้ง และการทบทวนความรู้ สลับกับการทำอาหารเพื่อสุขภาพร่วมกัน และจะมีการติดตามน้ำตรวจเช็คค่าน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร ๒ ชั่วโมง อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง
๒.๔. เมื่อผู้เข้าร่วมเข้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาบ ครบ 3 เดือน จะมีการเจาะ HBA1C รอบ ๒ ทุกคน และให้ฟังผลเลือดโดยแพทย์โรงพยาบาลรัตภูมิ เพื่อเพื่อเข้าสู่กระบวนการ ปรับ ลด หรือหยุดยา เบาหวานต่อไป
ขั้นประเมินผล
๑. สรุปและรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการ
๑. กลุ่มป่วยโรคเบาหวาน มีความรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการนับคาร์บ ทุกคน ๒. กลุ่มป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่สมัครใจเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยโปรแกรมการนับคาร์บ ครบ 3 เดือนตามเกณฑ์ มีค่า HBA1C ลดลงทุกคน และมีการปรับ ลด หรือหยุดยา โดยแพทย์ โรงพยาบาลรัตภูมิ
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2568 11:00 น.