โครงการค่ายจัดการความเครียดกับเด็กในวัยเรียน เยาวชนโคกทราย
ค่ายจัดการความเครียด
- กิจกรรมย่อย 1 กิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับความเครียด
ท่านวิทยากรในการให้ความรู้เกี่ยวกับความเครียดในครั้งนี้คือ นางซอร์ฟีเย๊าะ สองเมือง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลควนโดน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ได้พูดคุยกับเยาวชนผู้ร่วมกิจกรรมจำนวน 40 คนและร่วมทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมเพราะกิจกรมละลายพฤติกรรมเป็นกระบวนการเชิงจิตวิทยาที่อออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มีโอกาสเปิดใจ ทำลายกำแพงกั้นความสุขของการอยู่ร่วมกัน แสดงความเป็นตัวเอง แสดงตัวตน ทำความรู้จักและเปิดเผยตัวเองออกมาให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มได้รู้จักกันมากขึ้น ถือเป็นกิกรรมเริ่มต้นที่ต้องทำก่อนเริ่มกิจกรรมอืนๆ ครั้งนี้ว่า ความเครียดเป็นภาวะของอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ และทำให้รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ กลัว วิตกกังวล ตลอดจนถูกบีบคั้น เมื่อบุคคลรับรู้หรือประเมินว่าปัญหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คุกคามจิตใจ หรืออาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จะส่งผลให้สภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจเสียไป แบบไหนถึงจะเรียกว่าเครียด?
เมื่อเกิดความเครียด บุคคลจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านจิตใจและอารมณ์ รวมทั้งด้านพฤติกรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไป และความเครียดเหล่านั้นคลายลง ร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง ผลจากปฏิกิริยาตอบสนองที่มีต่อความเครียด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลนั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
1. ด้านร่างกาย ภาวะที่เครียดเกิดขึ้นจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด
เป็นลม เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน โรคอ้วน แผลในกระเพาะอาหาร เมื่อบุคคลตกอยู่ในความเครียดเป็นเวลานาน จะทำให้สุขภาพร่างกายเลวลงเนื่องจากเกิดความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมน ซึ่งเป็นชีวเคมีที่สำคัญต่อมนุษย์ เพราะทำหน้าที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายใน ขณะเกิดความเครียดจะทำให้ต่อมใต้ถูกกระตุ้น ทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดอาการทางกายหลายอย่างแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตั้งแต่ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย หากบุคคลนั้นต้องเผชิญกับความเครียดที่รุนแรงมากๆ อาจส่งผลให้บุคคลเสียชีวิตได้เนื่องจากระบบการทำงานที่ล้มเหลวของร่างกาย เช่นคนที่มีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว หากเกิดความเครียดอย่างรุนแรง ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะไปกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นหรือลดต่ำลงอย่างผิดปกติ และทำให้เกิดอาการช็อกได้ หรือในบางรายที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ส่งผลให้เกิดเป็นอาการของโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ต่างๆ โรคผิวหนัง อาจมีอาการผมร่วงและมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับคนปกติ
2. ด้านจิตใจและอารมณ์ จิตใจของบุคคลที่เครียดจะเต็มไปด้วยการหมกมุ่นครุ่นคิด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ใจลอย ขาดสมาธิ ความระมัดระวังในการทำงานเสียไปเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จิตใจขุ่นมัว โมโหโกรธง่าย สูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะจัดการกับชีวิตของตนเอง เศร้าซึม คับข้องใจ วิตกกังวล ขาดความภูมิใจในตนเอง ในบางรายที่ตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างยาวนานมาก อาจก่อให้เกิดอาการทางจิต จนกลายเป็นโรคจิตโรคประสาทได้ เนื่องจากการเผชิญต่อภาวะเครียดเป็นเวลานานฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น จะทำให้เซลล์ประสาทฝ่อและลดจำนวนลง โดยเฉพาะในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกับความจำและสติปัญญา ความเครียดจึงทำให้ทำให้ความจำและสติปัญญาลดลง และยังมีผลต่อการทำงานของระบบสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และพฤติกรรมโดยเฉพาะสารสื่อประสาท จึงทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลกว่าเวลาปกติ
3. ด้านพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายดังที่กล่าวในข้างต้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ระบบการ
ทำงานของร่างกายผิดเพี้ยนไป แต่ยังทำให้พฤติกรรมการแสดงออกของบุคคลเปลี่ยนแปลงด้วย ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่เครียดมากๆ บางรายจะมีอาการเบื่ออาหารหรือบางรายอาจจะรู้สึกว่าตัวเองหิวอยู่ตลอดเวลาและทำให้มีการบริโภคอาหารมากกว่าปกติ มีอาการนอนหลับยากหรือนอนไม่หลับหลายคืนติดต่อกัน ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง เริ่มปลีกตัวจากสังคม และเผชิญกับความเครียดอย่างโดดเดี่ยว บ่อยครั้งบุคคลจะมีพฤติกรรมการปรับตัวต่อความเครียดในทางที่ผิด เช่น สูบบุหรี่ ติดเหล้า ติดยา เล่นการพนัน การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางอย่างในสมองทำให้บุคคลมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น ความอดทนเริ่มต่ำลง พร้อมที่จะเป็นศัตรูกับผู้อื่นได้ง่าย อาจมีการอาละวาดขว้างปาข้าวของ ทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายร่างกายตนเอง หรือหากบางรายที่เครียดมากอาจเกิดอาการหลงผิดและตัดสินใจแบบชั่ววูบนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด
หลังจากนั้นวิทยากรให้ผู้ร่วมกิจกรรมแบ่งกลุ่มๆละ 8-9 คน ประมาณ 6 กลุ่ม วิทยากรได้ให้ผู้ร่วมกิจกรรมพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน
กิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม ค้นหาความเครียด เป็นลักษณะกิจกรรมเข้าฐาน
แบ่งเป็นฐานความเครียดจากครูรวมไปถึงปัจจัยจากการเรียนและโรงเรียนด้วย ฐานความเครียดจากเพื่อน ฐานความเครียดจากครอบครัว ฐานความเครียดจากสังคมและฐานความเครียดจากแฟน กลุ่มสต๊าฟ ได้แบ่งผู้ร่วมกิจกรรม เป็นทั้งหมด 5 กลุ่ม กลุ่มละ 8 คน กิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมเข้าฐานเพื่อไปเรียนรู้ปัจจัยหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทำให้เกิดความเครียด แต่ละกลุ่มจะเข้าฐานวนเวียนไปจนครบฐาน ซึ่งในแต่ละฐานจะมีกลุ่มสต๊าฟคอยให้ความรู้และข้อมูลแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม มีทั้งวิชาการและนันทนาการ ให้เกิดความรู้มากที่สุด
กิจกรรมย่อย 3 กิจกรรมภาคกลางคืนเมื่อฉันเครียด เป็นการแสดงบทบาทสมมุติของแต่ละกลุ่ม ที่ถอดบทเรียนจากกิจกรรมในภาคกลางวัน โดยให้แต่ละกลุ่มแสดงบทบาทตามที่ได้จับฉลาก บทบาทสมมุติมี 5 ประเภท ได้แก่ ความเครียดจากครู ฐานความเครียดจากเพื่อน ฐานความเครียดจากครอบครัว ฐานความเครียดจากสังคมและฐานความเครียดจากแฟน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกสนุกสนานและผ่อนคลาย ก่อนแยกย้ายทางสต๊าฟได้ชี้แจงรายละเอียดในกิจกรรมถัดไป คือกิจกรรมการเรียนรู้การจัดการความเครียด
กิจกรรมย่อย 4 กิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด การจะจัดการกับความเครียด น้องๆต้องหาว่าความเครียดเกิดจากสาเหตุใด และร่างกายเราตอบสนองต่อความเครียดนั้นอย่างไร ขั้นตอนต่อมาต้องเรียนรู้วิธีการจัดการเกี่ยวกับความเครียดซึ่งมีวิธีดังนี้
1. ค้นหาปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด เป็นข้อที่สำคัญที่สุด หากไม่ทราบสาเหตุ ก็ไม่สามารถป้องกันได้ บางคนอาจจะไม่ทราบว่าเครียดจากอะไร น้องๆลองสำรวจตัวเองสิว่าชีวิตประจำวันของน้องมีอะไรบ้างที่น้องเบื่อ เช่นการพูดคุยกับผู้ปกครอง พี่น้อง เพื่อน งานบ้านน่าเบื่อ งานที่โรงเรียนมาก บทบาทของตนเองไม่ชัดเจนฯลฯ น้องลองสำรวจอาการของน้องเมื่อพบสิ่งที่ไม่ชอบหรือน่าเบื่อ เช่นโกรธ เบื่อ ท้อแท้ ปวดศีรษะ เหล่านี้คือเหตุที่ให้เกิดความเครียด ปัจจัยใดที่ทำให้น้องเครียดที่สุด ภาวะใดที่น้องกลัวมาก น้องอาจจะจดลงในสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด อาการที่แสดงออก หลังจากที่ทราบสาเหตุแล้วก็ลองแก้ไข หากบางสิ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงเช่นบางคนไม่ชอบดูละครดราม่า เจ้าน้ำตาก็ไม่ต้องดูหรือพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
2. การป้องกัน หลังจากทราบสาเหตุแล้วการป้องกันความเครียดจะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งมีวิธีการต่างๆดังนี้ การเตรียมตัวเพื่อรับความเครียดสามารถทำได้ดังนี้
- การวางแผน เมื่อเกิดปัญหาหรือความเครียดพยายามตั้งสติและใช้ปัญญาหาทางแก้ไข
- เมื่อมีปัญหาพยายามหาทางเลือกหลายๆทาง และเลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
- ขณะเรียนก็วางแผนอนาคตไปด้วย ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และท้าทายการตั้งเป้าหมายเกินความสามารถเล็กน้อยจะเป็นการท้าทาย หากทำสำเร็จก็จะเกิดความภูมิใจความมั่นใจในตัวเองก็จะตามมา
- ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะกระทำ หากตั้งเป้าเกินความจริงจะทำให้เกิดความเครียด หากต้องการประสบความสำเร็จต้องพัฒนาความสามารถเพิ่ม แต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่ประสบผลสำเร็จความเครียดก็จะเกิดตามมาและในที่สุดก็เลิกไปเอง
- จัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของงาน งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานที่เร่งด่วนก็ได้ ให้ทำงานที่เร่งด่วนก่อน และก็ไปงานที่สำคัญ ขณะเรียนก็อย่ากังวลว่างานที่ยังไม่ได้ทำ ให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนงานอื่น
- หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
- เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้น้องเครียด
- หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้
3. แก้ไข แม้ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเครียด แต่เราสามารถลดโรคที่เกิดจากความเครียดโดย
- ปรึกษากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานจะช่วยท่านมองปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ท่านจำเป็นต้องบอกเพื่อนร่วมงานว่าบางสิ่งไม่สามารถทำได้ ต้องรู้จักปฏิเสธ ท่านอาจจะต้องลดงานพิเศษบางอย่างขณะเกิดความเครียด ท่านต้องเคารพตัวเองไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่ทำงานเกินความสามารถตัวเอง ไม่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การทำงานต้องมีขอบเขตหากมิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ต้องสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เมื่อโกรธก็หาสิ่งที่ชอบทำเช่นการฟังเพลง การเดิน
- อย่าซึมเศร้า เมื่อท่านมีโรคประจำตัวหรือประสบกับความผิดหวัง ท่านอาจจะหมดกำลังใจ ซึมเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว อาการซึมเศร้าจะทำให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากและทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" "ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนั้น" "ทำไมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้"คนปกติทุกคนจะคิดเหมือนกัน ท่านต้องทำใจและพยายามแก้ไข
- ทำชีวิตให้สบายๆอย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ทำตัวสบายๆงานที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำ
- เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ให้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข
- บริหารเวลาให้เหมาะสม จัดลำดับความสำคัญของงานให้ทำงานที่หนักเมื่อรู้สึกสบายหรือทำในตอนเช้า จัดเวลาสำหรับพักด้วย
- ให้ทำงานที่ละอย่างจนสำเร็จโดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นงานอาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้เมื่อได้กระทำสำเร็จจะเกิดความภูมิใจ
- เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ปรึกษาแพทย์
4. ยอมรับความจริง
- ยอมรับความจริงว่าน้องสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แต่น้องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่น เพราะหากน้องคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้วไม่สำเร็จ น้องก็จะเกิดความเครียด
- ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบต้องมีข้อบกพร่องยอมรับกับข้อบกพร่องความเครียดจะน้อยลง หลายคนคาดหวังว่าคนใช้จะสามารถทำงานได้ดีเท่ากับที่ตัวเองทำ เมื่อคนใช้ทำไม่ได้ก็เกิดความเครียด
- สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาเกิดความเครียด ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดแนะนำให้หัวเราะเมื่อมีความเครียด โดยจัดเวลาสำหรับงานบันเทิง คุยเรื่องตลกกับเพื่อนหรือดูตลก การหัวเราะจะช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้ตัวท่านตึงเครียดมืดมน มองโลกในแง่ดี
- ให้นึกว่าท่านสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเหตุการณ์ทุกอย่าง
5. หลีกเลี่ยง
- หลีกเลี่ยงความเครียดเล็กน้อย เช่นรถติดก็ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
- หลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆบุคคลที่ทำให้ท่านเครียด เช่นแฟนที่ขี้บ่น เจ้านายที่จุกจิก
- หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
- เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้คุณเครียด
- หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้
6. การปรับเปลี่ยน เป็นการปรับเปลี่ยนขบวนความคิดและการปฏิบัติตนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
- ปรับเปลี่ยนวิธีคิด มองโลกในแง่ดีเสมอไม่พยายามมองโลกในแง่ร้าย ทุกปัญหามีทางออก เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โลกมี่ทั้งกลางวันและกลางคืน หาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รู้จักปฏิเสธในส่วนไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเอง ลดความรีบร้อน หัดทำงานให้เสร็จที่ละอย่าง หัดกระจายงานสู่ผู้อื่น หางานอดิเรกทำที่ทำให้หายเบื่อ
- ปรับเปลี่ยนสภาพทำงาน ปรึกษากันเพื่อลดข้อขัดแย้งในการทำงาน กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคนกำหนดเจ้านายให้แน่นอน กำหนดกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการทำงานมีระบบให้คำปรึกษาเรื่องความเครียด
- ปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเองหัดสร้างอารมณ์ขันในภาวะที่เครียดยอมรับคำตำนิรู้จักผ่อนคลายเครียด
กิจกรรมย่อย 5 กิจกรรมสงครามล้างความเครียด เป็นลักษณะเกมการบริหารจัดการตนเองกับความเครียดและการถอดบทเรียนจากกิจกรรม
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมสุดท้ายของค่ายครั้งนี้ โดยให้แบ่งกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่ม เท่าๆกัน และให้มีราชีนี 1 คน ลักษณะเกมนี้ให้ทั้งสองฝั่งทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงราชีนี อาวุธคือ ถุงที่ใสน้ำ ทั้งสองฝั่งขวางกัน ใครโดนถือว่าตายให้ออกจากเกม ฝั่งไหนตายหมดถือว่าแพ้ ผู้ชนะจะได้ครอบครองราชีนีไป เกมนี้ผ่านไปด้วยดี ทั้งสนุกสนานและผ่อนคลาย หลังจากนั้นให้ตัวแทนกลุ่มสรุปว่าได้อะไรบ้าง
ท้ายสุดพี่สต๊าฟได้สรุปและถอดบทเรียนอีกครั้งว่าเกมนี้อ้างอิงมาจาก (งานวิจัย Linden,2005) เพราะเกมนี้จะสำเร็จหรือชนะได้ต้องผ่านการวางแผน การจัดการตนเอง การจัดการความโกธร การแก้ปัญหา การผ่อนคลาย และการปรับความคิด ถ้าหากฝ่ายไหนนำกระบวนการทั้งหมดนี้ไปใช้ก็สามารถชนะได้ในเกมและสามารถไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตนเองได้ด้วย
- เยาวชนในวัยเรียนบ้านโคกทรายที่มีอายุระหว่าง13-18 ปี ได้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความเครียด
- เยาวชนในวัยเรียนบ้านโคกทรายที่มีอายุระหว่าง13-18 ปี ได้ทักษะการจัดการความเครียดและสามรถเลือกวิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะสมกับตนเองในชีวิตจริงได้
- เยาวชนในวัยเรียนบ้านโคกทรายที่มีอายุระหว่าง13-18 ปี ได้เรียนรู้ประสบการณ์และกลวิธีการผ่อนคลายที่ถูกต้อง สมารถแลกเปลี่ยนภายในกลุ่มได้
-
- ได้ผลประเมินภาวะความเครียดของเยาวชนในวัยเรียนบ้านโคกทรายที่มีอายุระหว่าง13-18 ปี หลังร่วมโครงการ