กองทุนสุขภาพตำบล - กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น - กปท

สรุปผลการดำเนินงานตามแผนงานโครงการ5 สิงหาคม 2567
5
สิงหาคม 2567รายงานจากพื้นที่ โดย กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลทุ่งยาว
circle
กิจกรรมที่ปฎิบัติรายละเอียดของการทำกิจกรรมที่ได้ปฎิบัติจริง

รายละเอียดตามเอกสารสรุปโครงการฯที่แนบ

circle
ผลที่เกิดขึ้นจริงผลผลิต (Output) / ผลลัพธ์ (Outcome) / ผลสรุปที่สำคัญของกิจกรรม

กิจกรรม อบรมให้ความรู้แก่มารดา ในวันที่ 1 สิงหาคม 2567  เวลา 08.30 น. – 16.30 น. ณ ห้องประชุมสภาเทศบาลตำบลทุ่งยาว ผลการจัดกิจกรรม รายละเอียด ดังนี้ 1. วิทยากรบรรยาย หัวข้อ “ความรู้เรื่องการดูแลตนเองตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ตลอดอายุครรภ์จนถึงหลังคลอดไปจนกระทั่งเด็กอายุ 2 ปี” โดย นางจริยา สุโสะ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ วิทยากรจากโรงพยาบาลปะเหลียน     การตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 3 ไตรมาส รวมระยะเวลาตั้งครรภ์ทั้งสิ้น 9 เดือน หรือ 40 สัปดาห์  หรือ 280 วัน
    คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาส 1 (อายุครรภ์ 1 - 3 เดือน) ในช่วงไตรมาสแรก คุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด เหนื่อย เพลีย จนอยากนอนพักมาก ๆ เต้านมขยายใหญ่ขึ้น คัดเจ็บเต้านม น้ำหนักตัวคงที่ หรือเพิ่ม 1 - 3 กก. (ในรายที่ไม่แพ้ท้อง) และจะมีอาการแพ้ท้อง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เพราะระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว                               
    คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาส 2 (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) ในร่างกายของลูกน้อยจะอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมและพร้อมที่จะพัฒนาเติบโตอย่างเต็มที่ต่อไป เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ขนาดของเด็กในครรภ์จะเติบโตเพิ่มเป็น 3 - 4 เท่า ลักษณะของเด็กทารกจะดูคล้ายคนตัวเล็กมากขึ้น ผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายกว่าเดิม เพราะอาการอ่อนเพลียคลื่นไส้ในช่วงเริ่มตั้งครรภ์จะลดลงจนเกือบกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร่างกายปรับตัวได้ดี  แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไป     คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาส 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) คุณแม่ใกล้คลอดท้องจะใหญ่มากหายใจลำบาก มีอาการบวม ลุกนั่งลำบากและเหนื่อยง่าย ผู้หญิงท้องแก่แต่ละคนมีลักษณะหน้าท้อง ไม่เหมือนกัน แตกต่างทั้งขนาดและรูปร่างจึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ระยะนี้คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องของความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น อาการเป็นตะคริว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีเลือดออก หรือปัญหาภาวะน้ำคร่ำ ซึ่งจำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจครรภ์ก่อนคลอดบ่อยขึ้น     การดูแลตนเองหลังคลอด หลังคลอดบุตรแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะดูท่วมท้นไปเสียหมดเป็นเวลาที่คุณแม่จะต้องปรับตัวเข้ากับชีวิตบทใหม่และพักรักษาฟื้นฟูสุขภาพหลังคลอด การดูแลทารกและการที่คุณแม่ดูแลตนเองจึงมีความจําเป็นไม่แพ้กัน เพราะหากแม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพกายและใจก็จะส่งผลต่อลูกน้อยเป็นอย่างมาก ดังนี้     1. เมื่อกลับไปที่บ้าน จึงควรพยายามนอนพร้อมลูก ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว     2. ทําเรื่องดูแลลูกให้ง่ายเข้าไว้ในฐานะแม่ แม่จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจตารางเวลา
            3. ล้างมือบ่อย ๆ หลังเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนให้นมลูก     4. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรืออะไรที่หนักกว่าลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังผ่าตัดคลอดหลีกเลี่ยงการทำให้แผลตึง (แผลผ่าตัดคลอด) เช่น การขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ     5. ปฏิเสธไม่ให้คนมาเยี่ยม แม่อาจปฏิเสธไม่ให้คนมาเยี่ยมได้หากรู้สึกไม่พร้อม     6. พบแพทย์ตามนัดหลังคลอดทุกครั้ง ควรไปพบแพทย์ตามนัดหลังคลอดทุกครั้ง แพทย์จะดูแลฝีเย็บและให้คําปรึกษาเรื่องอาการหลังคลอดได้     7. รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ที่แพทย์เคยสั่งให้ต่อไปได้     8. ไม่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือสวนล้างช่องคลอดในช่วง 4-6 สัปดาห์แรก ใช้แผ่นอนามัยแบบแผ่นปกติ     9. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน     10. ออกกําลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน ซึ่งสามารถช่วยให้ฟื้นตัวสร้างความแข็งแรงและได้มีเวลาพักสมองจากเรื่องการดูแลลูก โดยก่อนเริ่มออกกําลังกายใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน     11. งดการมีเพศสัมพันธ์ แม่ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวเต็มที่ ควรรอให้แผลผ่าตัดที่ท้องหรือฝีเย็บหายเป็นปกติเสียก่อน และใช้อุปกรณ์คุมกําเนิดเพื่อป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ใหม่เร็วจนเกินไป โดยสามารถปรึกษาแพทย์ได้ว่าวิธีการคุมกําเนิดแบบใดที่เหมาะสมที่สุด

     การดูแลทารกแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิดมีสองเรื่องด้วยกัน คือการดูแลทางด้านร่างกายและการดูแลทางด้านจิตใจ การดูแลทางด้านร่างกาย คือ เรื่องโภชนาการอาหาร, การให้ทารกนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ในสถานที่ที่สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก และปลอดภัย, การดูแลระบบขับถ่าย, การดูแลความสะอาด, การดูแลสุขภาพร่างกายให้อบอุ่นแข็งแรง และการดูแลเรื่องระบบทางเดินหายใจสำหรับการดูแลทางด้านจิตใจ คือ การเลี้ยงดูทารกแรกเกิดด้วยความรักและความอบอุ่น ซึ่งจะเป็นการสร้างพื้นฐานทางด้านจิตใจที่ดีให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก และจะมีผลต่อเนื่องไปจนกระทั่งเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การดูแลทารกแรกเกิดในเรื่องต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้
     1. อาหารสำหรับทารกแรกเกิด องค์การอนามัยโลกแนะนำ “ให้นมแม่อย่างเดียว 6 เดือน  และนมแม่ร่วมกับอาหารเสริมนานจนถึง 2 ปี หรือมากกว่า” เพราะ น้ำนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก และสารอาหารในนมแม่ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยนมผสม คุณแม่ควรให้ลูกดูด นมแม่ ทันทีหลังคลอดและให้ดูด 8 - 12 ครั้งต่อวัน ก่อนให้นมคุณแม่ต้องล้างมือทุกครั้ง ส่วนหัวนมทำความสะอาดเวลาเช้าและเย็นขณะอาบน้ำก็เพียงพอแล้ว
     2. การอุ้มทารกแรกเกิด มี 3 แบบ ดังนี้
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;  - การอุ้มในท่าปกติ ทำได้โดยคุณแม่อุ้มทารกตะแคงเข้าหาทางหน้าอก ให้ท้ายทอยของทารกอยู่บนข้อพับแขนของคุณแม่ วางทอดแขนไปตามลำตัวของทารก อีกมืออุ้มช้อนส่วนก้นและช่วงขา ลำตัวทารกแนบชิดกับลำตัวของแม่ ให้ศีรษะ คอ และลำตัว อยู่ในแนวเดียวกัน<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;  - การอุ้มเรอ มีสองท่าคือท่าอุ้มพาดบ่า ให้หน้าท้องของทารกกดบริเวณไหล่ของแม่เพื่อไล่ลม และท่าอุ้มนั่งบนตัก โดยให้ทารกหันหน้าออก มือข้างหนึ่งของแม่จับที่หน้าอกของทารก ส่วนมืออีกข้างลูบหลัง ขณะลูบให้โน้มตัวทารกไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้หน้าท้องถูกกดและไล่ลมออก<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;  - การอุ้มปลอบ คล้ายกับการอุ้มเรอ แต่คุณแม่พูดคุยกับทารกไปด้วยเพื่อให้ทารกรู้สึกสงบและปลอดภัย
&nbsp; &nbsp;  3. การอาบน้ำทารกแรกเกิด ต้องระวังในเรื่องของสถานที่และเวลาในการอาบ ควรอาบในบริเวณที่ไม่มีลมโกรก อาบวันละสองครั้งและสระผมวันละครั้ง (หรือตามสภาพอากาศ) ในช่วงสาย ๆ หรือบ่าย ๆ ขณะที่มีอากาศอบอุ่น ควรอาบประมาณ 5 - 7 นาทีก็เพียงพอแล้ว<br />
&nbsp; &nbsp;  4. การดูแลสุขภาพช่องปากของทารกแรกเกิด ทำได้โดย ใช้นิ้วพันผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำต้มสุกที่สะอาดเช็ดให้ทั่วภายในช่องปาก บริเวณลิ้น เหงือก เพดานปาก และกระพุ้งแก้ม เพื่อไม่ให้มีคราบน้ำนมติดอยู่ทำความสะอาดวันละสองครั้ง เช้าและเย็นหลังให้นมแม่<br />
&nbsp; &nbsp;  5. การให้ภูมิคุ้มกันโรค (วัคซีน) สำหรับทารกแรกเกิด ทารกแรกเกิดทุกรายจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค (บีซีจี) และตับอักเสบ บี จากโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน โดยจะบันทึกไว้ในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กและจะนัดให้มารับวัคซีนครั้งต่อไป คุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูกมารับวัคซีนตามนัด หลังจากฉีดวัคซีนควรดูแลแผลทุกครั้ง<br />
  1. วิทยากรบรรยาย หัวข้อ “พัฒนาการของเด็กตามช่วงวัยของการเจริญเติบโต”
    โดย นางสาวมัสชุพรรณวจี ทวยเดช ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ วิทยากรจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งยาว
        พัฒนาการ คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะในร่างกาย และตัวบุคคล ทำให้สามารถทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนขึ้นได้ โดยมีการเพิ่มทักษะใหม่ ๆ และความสามารถ ในการปรับตัว เพื่อให้บุคคลนั้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันอยู่ได้ ซึ่งพัฒนาการของเด็ก จะประกอบไปด้วย     1. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว     2. พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา     3. พัฒนาการด้านการเข้าใจและการใช้ภาษา     4. พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม     เด็กแรกเกิด ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 เดือนแรก เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้พ่อแม่ และลูกน้อย เด็กในวัยนี้จะมีแค่การกิน นอน ร้อง ถ่าย การเคลื่อนไหวของเด็กวัยนี้จะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดัง ขยับศีรษะเมื่อมีคนลูบแก้ม เป็นต้น
        เด็กทารก เด็กที่มีอายุระหว่าง 1 - 12 เดือน จะเริ่มแสดงออกถึงพัฒนาการใหม่ ๆ     - เมื่อเด็กมีอายุ 3 - 6 เดือน เด็กจะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของศีรษะ ตั้งศีรษะนิ่งคอไม่อ่อนพับไปมา (sit with head steady) พลิกคว่ำ หงายได้ จดจำใบหน้าของพ่อ แม่และคนใกล้ชิดได้     - เด็กจะเริ่มพูดอ้อแอ้เมื่อมีอายุ 6 - 9 เดือนและรับรู้ชื่อของตัวเองและคำง่าย ๆ ที่พ่อแม่ใช้บ่อย ๆ     - เมื่ออายุ 7 - 12 เดือน เด็กจะเริ่มพัฒนาทักษะทางด้านร่างกายโดยสามารถคลาน เกาะยืน  เดินได้เอง หยิบสิ่งของด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ได้
        เด็กวัยเตาะแตะ ช่วงอายุ 1 - 3 ขวบ เป็นช่วงอายุที่เด็กเริ่มเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ เป็นวัยที่มีพัฒนาการทางด้านร่างกายสมองและอารมณ์อย่างรวดเร็ว เด็กจะมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่โดยสามารถปีนป่าย โยนรับลูกบอลได้ กระโดดอยู่กับที่ และนอกจากนี้ในช่วง 2 - 3 ขวบ เด็กจะมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก สามารถใช้นิ้วและแขนได้ดีขึ้น เช่น ใช้ช้อนส้อมกินอาหารด้วยตัวเอง สามารถขีดเขียนแบบง่าย ๆ สมองเด็กเติบโตมากขึ้น สามารถเรียนรู้เรื่องซับซ้อนได้มากขึ้น ปฏิบัติตามคำสั่งง่าย ๆ ได้ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นวัยที่สมองของเด็กพัฒนาได้มากที่สุดและรวดเร็วที่สุดกว่าช่วงอื่น ๆ ในชีวิต คุณพ่อ คุณแม่จึงควรกระตุ้นให้ลูกสำรวจสิ่งใหม่ ๆ และให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองให้แก่ลูก

  2. วิทยากรบรรยาย หัวข้อ “ความรู้ด้านโภชนาการสำหรับมารดาและเด็ก” โดย นางสาวมัสชุพรรณวจี ทวยเดช ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการวิทยากรจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งยาว
    โภชนาการสำหรับมารดา คำแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 1     1. อาหาร ทานอาหารตามปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์เท่าที่ทานได้ ในรายที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย หรือเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ เช่น น้ำหวาน และควรทานครั้งละน้อย ๆ วันละ 4 - 6 มื้อ แต่พออิ่ม ไม่ควรบังคับกำหนดปริมาณในการทาน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับตัวเอง หลักการสำคัญคือ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอ คำแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2     1. อาหาร ในระยะนี้อาการแพ้ท้องมักหายไป เริ่มทานอาหารได้ตามปกติ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ อาจมีอาหารทุกประเภทใน 1 มื้อ หรือประเภทใดประเภทหนึ่งสลับกับมื้ออื่น แต่เมื่อรวม 5 - 6 มื้อในแต่ละวัน ต้องรับประทานให้ได้ครบทุกประเภท ไม่ควรรับอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมันมากเกินไป เพราะในช่วงตั้งครรภ์ร่างกายไม่ต้องการอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลเพิ่ม แต่ต้องการเฉพาะโปรตีนเพิ่มขึ้น     2. เน้นผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใยสูง ดื่นน้ำวันละ 6 - 8 แก้ว เพื่อป้องกันอาการท้องผูก     3. ธาตุเหล็ก มีในไข่แดง ตับ ผักใบเขียว ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีมากพอที่จะลำเลียงออกซิเจนจากเลือดแม่ไปสู่ลูก     4. ทานแคลเซียม ซึ่งช่วยในการสร้างกระดูกและฟันของลูก และช่วยป้องกันไม่ให้แม่กระดูกพรุน โดยแคลเซียมสามารถทานได้จาก นม ปลาเล็ก ปลาน้อย หรือผักใบเขียวที่แข็ง คำแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3     1. อาหาร ควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีน เช่นเดียวกับไตรมาสที่ 2 เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อปลาผักใบเขียวชนิดต่างๆ และอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ปลาตัวเล็กทานทั้งก้างได้ หรือนม     2. การฝากครรภ์ การนัดตรวจครรภ์จะบ่อยขึ้น ในไตรมาสนี้จะมีการตรวจปัสสาวะ เพื่อดูน้ำตาลและโปรตีนเช็คความดันโลหิต ติดตามอาการบวม เพื่อตรวจหาว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่     3. การดูแลเต้านม ในระยะ 2 - 3 เดือนก่อนคลอด ร่างกายจะขับสารจำพวกไขมันมาคลุมบริเวณหัวนม และลานนม ดังนั้นการอาบน้ำชำระร่างกาย ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณหัวนมมากนัก เพราะจะชะล้างไขมันบริเวณนั้นออกไปหมด ทำให้หัวนมแห้ง และแตกง่าย โภชนาการสำหรับเด็ก         ช่วง 6 เดือนแรก อาหารที่ดีที่สุดของทารกนั้นคือ “นมแม่” เพราะมีสารอาหารมากมายเช่น DHA ช่วยบำรุงสมองและสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ เพราะในนมถั่วเหลือง (โคลอสตรัม) มีภูมิคุ้มกันสูงกว่านมวัว 3,000 เท่า มีสารช่วยย่อย และช่วยเร่งการเจริญเติบโต                 อาหารสำหรับเด็กทารก 6 เดือน ได้แก่ ตับ เนื้อสัตว์ ปลาช่อน ปลาน้ำจืด ผักใบเขียว หรือข้าวกล้องบด มันฝรั่งและไข่แดงบด น้ำซุปผัก ไข่ตุ๋น+ผักนิ่ม ๆ ผลไม้สุกจัดนิ่ม ๆ เช่นมะละกอบด, มะม่วงสุกบด, กล้วยน้ำหว้าบด, น้ำส้มคั้นสดไม่มีเมล็ด ไม่ควรปรุงรสใด ๆ เป็นรสหวานธรรมชาติ ไข่แดงควรมีทุกมื้ออาหาร  นำไข่แดงที่ต้มสุกแล้วมาบี้ใส่ในข้าวตุ๋น ถ้าคุณแม่กลัวลูกแพ้ไข่ขาวเริ่มให้รับประทานไข่ขาวเมื่ออายุครบ 1 ขวบก็ได้ อาหารค่อย ๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย สังเกตการรับประทานอาหารของทารก ว่าสิ่งไหนชอบสิ่งไหนไม่ชอบ                 อาหารสำหรับเด็ก 7 เดือน เน้นวัตถุดิบที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวบด ผักต้มนิ่ม ๆ 2 - 4 อย่าง บดรวมกัน กระตุ้นให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ จะได้ถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น       อาหารสำหรับเด็ก 6 - 9 เดือน บางคนมีฟันน้ำนมขึ้นหนึ่งหรือมากกว่านั้น ฟันจะช่วยให้ลูกเคี้ยว และเพลิดเพลินกับอาหารที่มีเนื้อสัมผัสหยาบขึ้น มีการพัฒนาการหยิบจับของ เช่น หยิบอาหารกินเอง               อาหารสำหรับเด็ก 8 - 9 เดือน อาหารจำพวกแป้งที่เป็นมื้อเล็ก ๆ วันละ 2 มื้อ เช่น ข้าวสวยนิ่ม ขนมปังแผ่น มันฝรั่ง พืชผัก ผลไม้ คละสีสัน มีความหยาบ ละเอียด มีกลิ่นรสหลากหลาย เช่น ผัก ผลไมhถือรับประทานเองได้ เช่น แตงกวา แครอทต้ม อาหารโปรตีนสูงแต่นุ่มบดง่าย ได้แก่ ไข่แดง ตับไก่ เต้าหู้อ่อน หรือปลา หมุนเวียนกันไป ปริมาณอาหารที่เหมาะสมใน 1 มื้อ ของเด็กคือ ข้าวสวย 5 ช้อน เนื้อสัตว์ ไข่ 2 ช้อน ผักนิ่ม ๆ 2 ช้อน ผลไม้ 3 ชิ้นพอดีคำ น้ำมันพืช 1 ช้อนชา     อาหารสำหรับเด็กวัย 10 - 12 เดือน เด็กสามารถกินอาหารหยาบได้ อาหารควรเปลี่ยน จากบดหรือสับ มาเป็นหั่นชิ้นเล็กแทน เช่น มักกะโรนีต้ม ข้าวต้ม หรือเนื้อปลาสับหยาบ กินอาหาร 3 มื้อ     โภชนาการเด็ก 1 - 3 ปี เด็กช่วงนี้กำลังหัดเดิน ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยทารกสู่วัยเด็กเล็ก ลูกจะสนุกกับการเดินรอบ ๆ ค้นหารสิ่งใหม่ ๆ การจัดอาหาร ต้องอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ วันละ 4 - 6 มื้อ (รวมมื้อว่าง) เน้นโปรตีน เพราะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย  และได้รับพลังงานที่เพียงพอ วันละ 1,000 Kcal./วัน รวมให้นมแม่ด้วย พลังงานส่วนใหญ่มาจาก ข้าวแป้ง-ธัญพืช น้ำตาล ไขมัน และเนื้อสัตว์
        - หมวดข้าวแป้ง รับประทานมื้อละ 1 ทัพพี เน้นข้าวกล้อง หรือ ข้าวซ้อมมื้อ เพราะมีแร่ธาตุ และวิตามินใยอาหารมากกว่าข้าวขาวปกติ     - หมวดเนื้อสัตว์ ควรรับประทานเป็น ไข่ นม เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อหมู ปลา ไก่ ถั่วต้มเปื่อย หรือเต้าหู้ โปรตีนช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และการเจริญเติบโต ควรได้รับ 1.4 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และควรได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอ เด็กควรได้กินไข่ 1 ฟองทุกวัน และดื่มนมทุกวัน เพื่อป้องกัน        การเกิดภาวะโลหิตจาง     - หมวดไขมัน ไขมันนอกจากให้พลังงานแล้วยังช่วยในการดูดซึมวิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน A D E K เด็กได้รับน้ำมันชนิดดีต่อสุขภาพ 3 ช้อนชาต่อวัน     - หมวดผัก ผักอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ควรให้เด็กรับประทานผักหลากสีสัน ควรรับประทานผักมื้อละครึ่งทัพพี เป็นผักสีเข้ม เช่น เขียวเข้ม ส้มเข้ม แดงเข้ม เหลืองเข้ม เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการรอบด้าน สมวัย     - หมวดผลไม้ มีวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร ควรรับประทานผลไม้สด มากกว่าผลไม้แปรรูป หรือน้ำผลไม้เพราะบางครั้งมีรสหวานมากเกินไป เฉลี่ย 1 วัน เด็กควรได้รับประทานผลไม้ 3 ส่วน     - หมวดนม ควรส่งเสริมให้เด็กดื่มนมทุกวัน เพื่อให้ได้รับแคลเซียมเพียงพอ เสริมสร้างมวลกระดูก เด็กควรดื่มนมจืดวันละ 2 - 3 แก้ว