2. ความสอดคล้องกับแผนงาน
3. สถานการณ์
โรคฟันผุเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังที่พบมากในเด็ก และยังคงเป็นปัญหาทางทันตสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศไทย เด็กอายุ 3 ปี และ 5 ปี เป็นตัวแทนของการติดตามการเกิดโรคฟันผุในฟันน้ำนม จากผลการสํารวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 9 พ.ศ. 2565 พบว่าเด็กไทยอายุ 3 ปี และ 5 ปี มีความชุกในการเกิดฟันผุ ร้อยละ 47.0 และ 72.1 ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยฟันผุถอนอุด (dmft) 2.5 ซี่ และ 4.6 ซี่ต่อคน ตามลำดับ ซึ่งไม่ได้รับการรักษาคิดเป็นร้อยละ 46.1 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการเจ็บปวดและการสูญเสียฟันน้ำนม เด็กอายุ 3 ปี ร้อยละ 2.6 มีประสบการณ์การสูญเสียฟันในช่องปาก โดยพบว่าในปัจจุบัน เด็กปฐมวัยเริ่มมีฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย มีการลุกลามได้เร็ว มีลักษณะการผุหลายๆ ซี่ในช่องปาก และมีจำนวนฟันผุเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น และฟันผุในระยะแรกเริ่มสามารถลุกลามเป็นรูฟันผุได้ในระยะเวลา 6-12 เดือน นอกจากนั้นพบว่าเด็กในเขตภาคใต้ยังคงมีความจำเป็นต้องได้รับบริการรักษาทางทันตกรรมมากที่สุด เด็กกลุ่มนี้จึงมีความจำเป็นต้องได้รับบริการส่งเสริมป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการลุุกลามจนฟันผุเป็นรู แม้เด็กเล็กส่วนหนึ่งจะเคยได้รับการทาฟลูออไรด์วาร์นิชและคำแนะนำการดูแลสุขภาพมาก่อนจากหน่วยบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในช่วงที่เด็กได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม แต่ยังพบว่าเด็กเล็กที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในแต่ละปี ยังคงมีประสบการณ์ฟันน้ำนมผุไม่เคยได้รับการรักษาด้วยการอุดฟันหรือหยุดยั้งฟันผุมาก่อน ทำให้มีฟันผุลุกลามจนทะลุโพรงประสาทฟัน เกิดอาการปวดทรมาน ทำให้เด็กไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ รับประทานอาหารได้น้อยลง เกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการ การเจริญเติบโตของร่างกายและคุณภาพชีวิตของเด็ก จากการสำรวจเด็กทั้งหมดในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงในปี พ.ศ. 2567 จำนวน 6 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านควนไสน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านท่าแลหลา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านปากปิง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านปิใหญ่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าฝาง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านตูแตหรำ พบความชุกในการเกิดฟันผุร้อยละ 75.61 มีค่าเฉลี่ยฟันผุประมาณ 5.58 ซี่ต่อคน จากข้อมูลดังกล่าวพบว่ามีอุบัติการณ์โรคฟันผุสูงมาก จึงจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมป้องกันและรักษาโรคดังกล่าว
โรคฟันผุในเด็กเล็กสามารถป้องกันได้โดยผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็ก ที่จะช่วยส่งเสริมทันตสุขภาพของเด็กก่อนวัยเรียนได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสุขภาพของเด็กพร้อมทั้งการเฝ้าระวังโรค ด้วยการแปรงฟันให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์แต่เมื่อมีการผุจนสูญเสียแร่ธาตุและเนื้อฟันเป็นโพรงเกิดขึ้นแล้ว การรักษาจึงต้องเป็นการหยุดยั้งเพื่อไม่ให้ผุลุกลามไปสู่โพรงประสาทฟันจนมีอาการปวดได้ ซึ่งแนวทางการรักษาต้องเป็นการเก็บรักษาเนื้อฟันไว้ให้ได้มากที่สุด (Non-invasive treatment or minimal invasive treatment) เช่น การใช้ฟลูออไรด์วาร์นิช ซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ และบูรณะฟันด้วยวิธี Simplified and Modified Atraumatic Restoration Treatment (SMART) เป็นต้น
การอุดฟันโดยวิธี SMART เป็นเทคนิคการอุดฟันที่คิดค้นเพื่อใช้ในการบูรณะฟันในกรณีที่ไม่สามารถจัดบริการรักษาแบบปกติได้ จะบูรณะด้วยกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ มีคุณสมบัติปลดปล่อยฟลูออไรด์ ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก เพิ่มการคืนกลับของแร่ธาตุ ควบคุมการลุกลามและการดำเนินของโรคฟันผุ ป้องกันการเกิดฟันผุซ้ำ ซึ่งประสิทธิผลในการบูรณะด้วยวิธีนี้มีประโยชน์ในการจัดการฟันน้ำนมผุลุกลามรุนแรงในเด็กเล็ก ใช้เครื่องมือพื้นฐานใช้มือ (Hand instrument) ในการอุดฟัน ให้อัตราความสำเร็จในการรักษาสูง ประโยชน์ของการอุดฟันด้วยวิธี SMART คือ ค่าใช้จ่ายน้อย เจ็บปวดน้อย ลดความกังวลของเด็ก สามารถเก็บฟันไว้ได้โดยไม่ต้องถอน เป็นการให้บริการทันตกรรมเชิงรุก สามารถดำเนินการในชุมชนได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และเลือกใช้ในกิจกรรมทันตสุขภาพในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ดี ซึ่งทางฝ่ายทันตสาธารณสุขได้ให้การรักษาวิธีการนี้แก่เด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงมาแล้วในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบว่าล่าสุดในปีพ.ศ. 2567 มีเด็กได้รับการรักษาด้วยวิธี SMART คิดเป็นร้อยละ 95.06 ของเด็กที่มีฟันผุ ภายหลังการรักษาเด็กไม่มีอาการปวดฟัน และมีอัตราการยึดติดของวัสดุร้อยละ 92.76 ซึ่งให้ผลความสำเร็จค่อนข้างสูง
ซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ (SDF) ความเข้นข้นร้อยละ 38 มีความสามารถในการหยุดยั้งฟันผุในชั้นเนื้อฟันได้ดี สารประกอบซิลเวอร์หรือเงินมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการย่อยสลายของคอลลาเจนในเนื้อฟันร่วมกับการคืนกลับแร่ธาตุโดยฟลูออไรด์ที่ผิวหน้าฟัน เกิดการแข็งตัวของเนื้อฟันในโพรงฟันผุ ลดอาการเสียวฟัน มีรายงานผลการศึกษาการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและ Meta-analysis ปี ค.ศ. 2019 พบว่าประสิทธิภาพการใช้ซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ ในการยับยั้งฟันผุในชั้นเนื้อฟันของฟันน้ำนมสูงถึงร้อยละ 81 และ 89 ข้อดีคือ ใช้งานง่าย สะดวก ไม่แพง ปลอดภัย ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน ไม่ต้องกรอฟันให้เกิดเสียงที่ทำให้เด็กกลัว ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง และไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขณะรักษาจึงมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการป้องกันและหยุดยั้งฟันผุในเด็กเล็กที่มีข้อจำกัด หรือให้ความร่วมมือในการรักษาทางทันตกรรมน้อย แต่มีข้อคำนึงถึงประการหนึ่งคือ หลังการใช้ซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ในการหยุดยั้งฟันผุลุกลามได้มีประสิทธิภาพนั้น จะมีการเปลี่ยนรอยผุบริเวณนั้นเป็นสีดำอย่างถาวร แต่อย่างไรก็ตาม สีดำที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะคล้ายรอยผุหยุดยั้งตามธรรมชาติ
การให้บริการทางทันตกรรมในระดับชุมชน จำเป็นต้องให้การรักษาเพื่อควบคุมการลุกลามของรอยโรคฟันผุ (Caries control) ในเวลา ค่าใช้จ่าย และทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่อย่างจำกัด ซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์เป็นทางเลือกหนึ่งที่แนะนำในงานทันตสาธารณสุขชุมชน ในกลุ่มประชากรเด็กที่มีความเสี่ยงฟันผุสูง สำหรับในประเทศไทยมีแนวทางการใช้ฟลูออไรด์โดยทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยปี พ.ศ. 2560 ได้มีการแนะนำให้ใช้ซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ที่รอยผุอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง จนกว่ารอยโรคจะหยุดผุ หรือเมื่อได้รับการบูรณะหรือฟันน้ำนมหลุดเองตามธรรมชาติ ซึ่งได้มีการนำมาใช้เป็นปีที่ 2 ในระดับชุมชนของพื้นที่อำเภอละงูเมื่อปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งให้ผลการหยุดยั้งฟันผุในฟันน้ำนมที่มีฟันผุลุกลามร้อยละ 95.02 ของฟันที่ได้รับการรักษาด้วยซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ และผู้ปกครองเด็กเล็กพึงพอใจในภาพรวมจากการให้บริการทางทันตกรรมในระดับพึงพอใจมากที่สุดร้อยละ 87.00 ซึ่งผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมา พบว่าทั้งวิธี SMART และซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ต่างหยุดยั้งฟันผุลุกลามอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น กลุ่มงานทันตสาธารณสุข โรงพยาบาลละงู จึงได้จัดทำโครงการหยุดยั้งฟันผุด้วยวิธี SMART ร่วมกับซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ในเด็กปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเขตตำบลกำแพง ขึ้นเป็นปีที่ 3 เพื่อเป็นการต่อยอดโครงการ สร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กเล็กควบคุมการลุกลามของโรคฟันผุ ป้องกันการเกิดฟันผุซ้ำ และเป็นการส่งเสริมป้องกันโรคในช่องปากให้กับเด็กเล็กรุ่นใหม่ได้อย่างต่อเนื่องครอบคลุม และแพร่หลายให้มากขึ้นต่อไป
4. วัตถุประสงค์และตัวชี้วัด
- บอกจุดมุ่งหมายในการดำเนินงานโครงการ และสิ่งที่ต้องการให้เกิดผลจากการดำเนินงานโครงการ วัตถุประสงค์นี้จะต้อง เฉพาะเจาะจง วัดได้จริง แสดงโอกาสที่จะเกิดผลสำเร็จ สอดคล้องกับหลักการและเหตุผล ในระยะเวลาที่กำหนด
- ตัวชี้วัด ให้ระบุความชัดเจนว่า เมื่อดำเนินการตามโครงการเสร็จแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบรรลุผลสำเร็จอะไรบ้างและมากน้อยเพียงใด และควรแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมวัดผลได้ และระบุตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการทั้งในระดับผลผลิตและผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
5. กลุ่มเป้าหมาย
6. ระยะเวลาดำเนินงาน
วันเริ่มต้น 01/04/2025
กำหนดเสร็จ 31/12/2025
7. วิธีการดำเนินงาน
- กิจกรรม แสดงขั้นตอนการทำกิจกรรมและกระบวนการดำเนินงาน เขียนให้ละเอียดว่าจะทำอะไร อย่างไร จึงจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่วางไว้ เขียนให้เห็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน
- งบประมาณ ในแต่ละกิจกรรม ขอให้จำแนกรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยละเอียด
หมายเหตุ :
สามารถถัวเฉลี่ยจ่ายได้ทุกรายการ
8. ผลการดำเนินงานที่คาดหวัง
ผลจากการดำเนินโครงการท่านคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?1) ผู้ปกครองเด็กและครูผู้ดูแลเด็กมีความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กเล็กเพิ่มขึ้น
2) เด็กปฐมวัย ในศพด. เขตตำบลกำแพง เข้าถึงบริการทางทันตกรรม ได้รับการตรวจฟัน การหยุดยั้งฟันน้ำนมผุและบูรณะฟันน้ำนมเพิ่มขึ้น
3) ลดการสูญเสียฟันน้ำนม ลดอาการปวดฟันและลดการผุซ้ำในฟันกรามน้ำนมที่ได้รับการรักษาไป
4) ผู้ปกครองพึงพอใจต่อการบูรณะฟันด้วยวิธี SMART และหยุดยั้งฟันผุด้วยซิลเวอร์ไดเอมีนฟลูออไรด์ในเด็กเล็ก