2. ความสอดคล้องกับแผนงาน
3. สถานการณ์
แผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ฉบับที่สอง เป็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านวัคซีนในระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560-2564 ต่อเนื่องจากนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ฉบับแรก มีเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างความมั่นคงและการพึ่งตนเองด้านวัคซีน ประชาชนมีวัคซีนใช้อย่างเพียงพอ สามารถเข้าถึงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กอายุ 0-5 ปี นับเป็นพื้นฐานสำคัญของการ
ป้องกันโรคติดต่อที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน เพื่อให้เด็กห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่าด้วย เด็กอายุ 0-5 ปี จะต้องได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคครบตามเกณฑ์อายุ ร้อยละ 100 และโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนต้องหายไปจากประเทศไทย การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเป็นกลวิธีในการป้องกันควบคุมโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด
กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้มีการบริการวัคซีนขั้นพื้นฐานตามช่วงอายุที่เหมาะสม เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่เด็กกลุ่มเป้าหมายที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกคน ตามสิทธิประโยชน์พื้นฐานในการบริการ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ภายใต้คำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งสำหรับโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่ให้บริการมีวัคซีน 11 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) วัคซีนป้องกันโรค ตับอักเสบบี(HB) วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ (DTP-HB-Hib) วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV) วัคซีนโรต้า (Rota) วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (IPV) วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (LAJE) วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจาก
เชื้อเอชพีวี (HPV) และวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก (dT) ซึ่งป้องกันทั้งหมด 13 โรค ได้แก่ โรคตับอักเสบบี วัณโรค
โรคคอตีบ โรคบาดทะยัก โรคไอกรน โรคฮิบ โรคโปลิโอ โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคคางทูม
โรคไข้สมองอักเสบเจอี และมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี และกำหนดให้วัคซีนในผู้ใหญ่ ได้แก่ วัคซีนรวมป้องกันโรค
คอตีบ-บาดทะยัก (dT) วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) วัคซีนรวม ป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน (MR) และวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (HB)
ด้วยสภาพการณ์ปัจจุบัน การดำเนินงานในกิจกรรมงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในพื้นที่หมู่ที่ 1,2 และหมู่ที่ 8
ตำบลบุดี มีประชากรเด็กอายุ 0- 5 ปี ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 280 คน และได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ จำนวน 245 คน คิดเป็น 87.5 % ซึ่งต้องติดตามเด็กอีกจำนวน7 คน ถึงจะทำได้มากกว่า 90%ซึ่งได้รับความร่วมมือจากชุมชนเป็นอย่างดี แต่ยังมีเด็กที่ฉีดวัคซีนล่าช้า ทำให้การดำเนินงานไม่บรรลุตามเป้าหมาย
การดำเนินงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค นอกจากกลุ่มเด็กอายุ 0-5 ปี แล้วยังมีกลุ่มหญิงที่มีอายุ 11-20 ปี ที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV เนื่องจาก โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับ 2
รองจากมะเร็งเต้านม ในแต่ละปี หญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงถึงปีละเกือบหมื่นราย และมีอัตราเสียชีวิตเกิน 50% นับว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นแนวทางการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยหลักการสำคัญคือ ควรฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
4. วัตถุประสงค์และตัวชี้วัด
- บอกจุดมุ่งหมายในการดำเนินงานโครงการ และสิ่งที่ต้องการให้เกิดผลจากการดำเนินงานโครงการ วัตถุประสงค์นี้จะต้อง เฉพาะเจาะจง วัดได้จริง แสดงโอกาสที่จะเกิดผลสำเร็จ สอดคล้องกับหลักการและเหตุผล ในระยะเวลาที่กำหนด
- ตัวชี้วัด ให้ระบุความชัดเจนว่า เมื่อดำเนินการตามโครงการเสร็จแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบรรลุผลสำเร็จอะไรบ้างและมากน้อยเพียงใด และควรแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมวัดผลได้ และระบุตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการทั้งในระดับผลผลิตและผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
5. กลุ่มเป้าหมาย
6. ระยะเวลาดำเนินงาน
วันเริ่มต้น 05/02/2025
กำหนดเสร็จ 31/08/2025
7. วิธีการดำเนินงาน
- กิจกรรม แสดงขั้นตอนการทำกิจกรรมและกระบวนการดำเนินงาน เขียนให้ละเอียดว่าจะทำอะไร อย่างไร จึงจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่วางไว้ เขียนให้เห็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน
- งบประมาณ ในแต่ละกิจกรรม ขอให้จำแนกรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยละเอียด
หมายเหตุ :
8. ผลการดำเนินงานที่คาดหวัง
ผลจากการดำเนินโครงการท่านคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?1. ร้อยละ 90 เด็ก 0 – 5 ปี ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ร้อยละ 90
2. ร้อยละ 80 ผู้ปกครองเด็กมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัคซีนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
3. กลุ่มหญิงที่มีอายุ 11-20 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV ร้อยละ 80