ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง
ชื่อโครงการ | ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง |
รหัสโครงการ | |
ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข |
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต. |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | โรงพยาบาลบันนังสตา |
วันที่อนุมัติ | 24 สิงหาคม 2560 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 1 กันยายน 2560 - 30 พฤศจิกายน 2560 |
กำหนดวันส่งรายงาน | |
งบประมาณ | 17,700.00 บาท |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นางสาวนูรไลลา อับดุลกาเดร์ |
พี่เลี้ยงโครงการ | |
พื้นที่ดำเนินการ | ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา |
ละติจูด-ลองจิจูด | 6.25,101.233place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
---|---|---|
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ | ||
กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง | 170 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง : |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
โรคเบาหวาน นับเป็นปัญหาการเจ็บป่วยที่สำคัญและนำมาซึ่งความทุกข์ ความสูญเสียทรัพยากรในการดูแลรักษา มีผลกระทบต่อผู้ป่วยเองและผู้ดูแล ค่ารักษารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในครอบครัว มีอาการป่วยเรื้อรังเป็นเวลานานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น แผลเรื้อรัง ปัญหาการมองเห็น ปัญหาทางไต อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น จากการคาดการขององค์การอนามัยโลก พบว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เฉพาะการรักษาพยาบาลเบาหวานอย่างเดียว ไม่รวมภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่ตามมา ในประเทศพัฒนาแล้ว ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลถึง ร้อยละ 8 ของงบประมาณด้านสาธารณสุขทั้งหมด ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แต่ยังพบว่าอุบัติการณ์เกิดโรคยังเพิ่มอย่างต่อเนื่องและกลับทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาอัตราตายด้วยโรคเบาหวานเท่ากับ 7.9-11.8โรคเบาหวานเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย ความชุกของเบาหวานมีแนวโน้มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยพบความความชุกสูงสุดที่กลุ่มอายุ 60 ถึง 69 ปี
ในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2557 ประชาชนไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณร้อยละ 25 หรือคนไทย 1 ใน 4 คน เป็นโรคความดันโลหิตสูงนั่นเอง คิดเป็นจำนวนผู้ที่มีความดันโลหิตสูงประมาณ 13 ล้านคนซึ่งมีเพียงร้อยละ 44 เท่านั้นที่ทราบว่าตนเองเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษา ที่สำคัญโรคความดันโลหิตสูงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต อันเป็นสาเหตุถึงขั้นรุนแรงที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ จากข้อมูลล่าสุด พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง ประมาณ 60,000 ราย โรคหลอดเลือดหัวใจ ประมาณ 40,000 ราย และโรคไต ประมาณ 14,000 ราย นอกจากนี้ ยังพบว่าโรคความดันโลหิตสูงมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูง หากคนไทยป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 10 ล้านคน จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลถึงประมาณ 80,000 ล้านบาทต่อปี
จากสภาพปัญหาปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในเขตตำบลบันนังสตา พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มาไม่ตามนัด มีการรับยาไม่ต่อเนื่อง การกินยาไม่ต่อเนื่องของผู้ป่วยทำให้เกิดปัญหาการคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการควบคุมความดันโลหิตสูงในกลุ่มป่วยเพียงร้อยละ21.66 ในกลุ่มโรคเบาเหวานและ 25.22 ในกลุ่มโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัวและบริการปฐมภูมิจึงได้จัดทำโครงการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
---|---|---|---|
1 | เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการรับประทานยาโรคเรื้อรังที่ถูกต้อง
|
||
2 | เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตสูงได้
|
||
3 | เพื่อลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนและความรุนแรงของโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
|
- ประชุมชี้แจงโครงการแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
- ประชาสัมพันธ์โครงการ
- ดำเนินงานตามแผน
- กิจกรรมให้ความรู้ การกินยา และภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน 5.สรุปผลการดำเนินงาน
ลดภาวะแทรกซ้อนและความรุ่นแรงในกลุ่มป่วยโรคความดันโลหิตสูงโรคเบาหวานและพฤติกรรมการกินยาที่ถูกต้องทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2560 22:38 น.