กองทุนสุขภาพตำบล - กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น - กปท

แบบรายงานการดำเนินงานฉบับสมบูรณ์

รายงานฉบับสมบูรณ์


โครงการ
“ โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์บริการสาธารณสุขเตาหลวง (ชมรมบานไม่รู้โรย) ”
ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา



หัวหน้าโครงการ
นายปราณี กาเลี่ยง ตำแหน่ง ประธานชมรมบานไม่รู้โรย




ชื่อโครงการ โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์บริการสาธารณสุขเตาหลวง (ชมรมบานไม่รู้โรย)

ที่อยู่ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา จังหวัด สงขลา

รหัสโครงการ L7250-2-23 เลขที่ข้อตกลง 44/2567

ระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแต่ 3 เมษายน 2567 ถึง 30 กันยายน 2567

กิตติกรรมประกาศ

"โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์บริการสาธารณสุขเตาหลวง (ชมรมบานไม่รู้โรย) จังหวัดสงขลา" สำเร็จได้ด้วยดี ด้วยความร่วมมือจาก สมาชิกในชุมชน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา

คณะทำงานโครงการฯ ขอขอบคุณ กองทุนหลักประกันสุขภาพ เทศบาลนครสงขลา ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ รวมทั้ง ภาคีเครือข่ายที่สำคัญระดับพื้นที่ ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ชี้แนะ สุดท้ายขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่มิได้ระบุชื่อไว้ในที่นี้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้มีความยั่งยืนในพื้นที่ต่อไป

คณะทำงานโครงการ
โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์บริการสาธารณสุขเตาหลวง (ชมรมบานไม่รู้โรย)



บทคัดย่อ

โครงการ " โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์บริการสาธารณสุขเตาหลวง (ชมรมบานไม่รู้โรย) " ดำเนินการในพื้นที่ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา รหัสโครงการ L7250-2-23 ระยะเวลาการดำเนินงาน 3 เมษายน 2567 - 30 กันยายน 2567 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 29,700.00 บาท จาก กองทุนหลักประกันสุขภาพ เทศบาลนครสงขลา เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมโครงการ หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปรากฏดังนี้

โครงการนี้ยังไม่มีการเขียนหรือแก้ไขบทคัดย่อ

หมายเหตุ : รายละเอียดของบทสรุปคัดย่อการดำเนินงาน ให้ผู้รับผิดชอบโครงการเป็นผู้เขียนสรุปภาพรวมของโครงการใน "ผลลัพธ์โครงการ"


สารบัญ

กิตติกรรมประกาศ»
บทคัดย่อ»
   ความเป็นมา/หลักการเหตุผล»
   วัตถุประสงค์โครงการ»
   กิจกรรม/การดำเนินงาน»
   กลุ่มเป้าหมาย»
   ผลลัพธ์ที่ได้»
   การประเมินผล»
   ปัญหาและอุปสรรค»
   ข้อเสนอแนะ»
   เอกสารประกอบอื่นๆ»

ความเป็นมา/หลักการเหตุผล

การดำเนินงานของชมรมบานไม่รู้โรย ซึ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๐ ได้ดำเนินงานจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของชมรมอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๑5 ปีแล้ว ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 90 คน พบว่าสมาชิกและประชาชนทั่วไปให้ความสนใจในการเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมบานไม่รู้โรย ได้แก่ การประชุมสมาชิกเป็นประจำทุกเดือน เพื่อเรียนรู้การดูแลตนเอง การส่งเสริมความรู้ด้านนวัตกรรมจากวิทยากรและแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากสมาชิกด้วยกัน กิจกรรมสมุนไพรแช่เท้าดูแลผู้ป่วย กิจกรรมเมนูชูสุขภาพลดหวานมันเค็ม กิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ กิจกรรมพบปะสังสรรค์วันบานไม่รู้โรย กิจกรรมกีฬาสัมพันธ์ นันทนาการ กิจกรรมเยี่ยมเพื่อนสมาชิกที่เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลและตัวแทนของชมรมเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของเทศบาลนครสงขลา ทำให้ชมรมบานไม่รู้โรยมีความเข้มแข็งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง
ชมรมบานไม่รู้โรย ซึ่งเป็นแกนนำในการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จึงเห็นความสำคัญในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเรื้อรังทั้ง ๕5 ชุมชนในเขตเทศบาลนครสงขลา เพื่อให้การดูแลส่งเสริม ฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วย พร้อมทั้งลดการใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาและเพิ่มทางเลือกในการดูแลสุขภาพให้แก่ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย รวมทั้งผู้ป่วยสามารถนำกลับไปปฏิบัติใช้ที่บ้าน เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองได้ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างปกติสุข จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้น

สถานการณ์

วัตถุประสงค์โครงการ

  1. ๑. เพื่อให้สมาชิกชมรมบานไม่รู้โรยสามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรังได้

กิจกรรม/การดำเนินงาน

  1. กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม
  2. กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย
  3. กิจกรรม ที่ 3 กิจกรรมฝึกสมาธิ ส่งเสริมสุขภาพ
  4. กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมรวมพลังสร้างเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  5. จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  6. กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม
  7. ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม
  8. ค่าจัดซื้อวัตถุดิบอาหารสาธิต
  9. ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม
  10. ค่าสมุนไพรแช่เท้า
  11. ค่าวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ
  12. ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม
  13. ค่าวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ
  14. ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม
  15. ค่าอาหารกลางวัน
  16. ค่าวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ
  17. ค่าป้ายประชาสัมพันธ์ชมรม
  18. ค่าจัดทำรูปเล่มสรุปโครงการ

กลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย
กลุ่มเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน
กลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน
กลุ่มวัยทำงาน
กลุ่มผู้สูงอายุ
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ
กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด
กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 80
กลุ่มคนพิการและทุพพลภาพ
กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง
สำหรับการบริหารหรือพัฒนากองทุนฯ [ข้อ 10(4)]

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

1.สมาชิกชมรมบานไม่รู้โรย มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนไม่เกิน 5 %


ส่วนที่ 1 ผลการดำเนินงาน

วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ผลลัพธ์และตัวชี้วัดผลลัพธ์**
กิจกรรมของโครงการ
ผลผลิต*
ผลผลิตที่ตั้งไว้ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง

1. จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

วันที่ 3 มิถุนายน 2567 เวลา 09:00 น.

กิจกรรมที่ทำ

จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม วันที่ 12 มิถุนายน 2567 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย       วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมฝึกสมาธิ ส่งเสริมสุขภาพ       วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมรวมพลังสร้างเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง       วันที่ 4 กันยายน 2567

 

0 0

2. กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม

วันที่ 12 มิถุนายน 2567 เวลา 09:00 น.

กิจกรรมที่ทำ

กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม

ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม วันที่ 12 มิถุนายน 2567

 

0 0

* ผลผลิต หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นเชิงปริมาณจากการทำกิจกรรม เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวนผู้ผ่านการอบรม จำนวนครัวเรือนที่ปลูกผักสวนครัว เป็นต้น
** ผลลัพธ์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การแก้ปัญหา เช่น หลังอบรมมีผู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจำนวนกี่คน มีข้อบังคับหรือมาตรการของชุมชนที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีข้อมูลอ้างอิงประกอบการรายงาน เช่น ข้อมูลรายชื่อแกนนำ , แบบสรุปการประเมินความรู้ , รูปภาพกิจกรรมพร้อมคำอธิบายใต้ภาพ เป็นต้น


ส่วนที่ 2 ประเมินความพึงพอใจต่อความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการในภาพรวม

ผลการดำเนินโครงการ

สรุปผลการดำเนินโครงการ

ผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรม:
บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
บรรลุตามวัตถุประสงค์บางส่วนของโครงการ
ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

1.ผลการดำเนินงาน กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม วันที่ 12 มิถุนายน 2567 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย   วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมฝึกสมาธิ ส่งเสริมสุขภาพ   วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมรวมพลังสร้างเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง   วันที่ 4 กันยายน 2567 สรุปผลการดำเนินกิจกรรม 1.กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม โดยจัดวันที่ 12 มิถุนายน 2567 เมนูยำผลไม้ การทานผลไม้ ถึงผลไม้จะมีประโยชน์ มีวิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย มีกากใยอาหารช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แต่ผลไม้เองก็มีพลังงานจากน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่ จึงไม่ใช่อาหารที่จะทานเท่าไหร่ก็ได้ จึงไม่ควรทานผลไม้จำนวนมากๆ แทนการทานอาหารมื้อปรกติ การลดน้ำหนักที่ดี และได้ผลคือ กำหนดปริมาณอาหารให้พอเหมาะ เลือกกลุ่มอาหารให้หลากหลาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยำผลไม้ เมนูที่มีอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 หรือไทแอมีน (Thiamine) ไฟเบอร์ เหล็ก โพแทสเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เสริมสร้างสุขภาพหัวใจ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ประโยชน์จากการกินผลไม้ สูตรยำผลไม้ มีส่วนผสมเป็นผลไม้ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างสละอุดมไปด้วยโปรตีน เบตาแคโรทีน วิตามินซี วิตามินบี 1 ไฟเบอร์ เหล็ก โพแทสเซียม และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยบำรุงดวงตา แก้ท้องเสีย ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ลดอาการกรดไหลย้อน รวมถึงยังช่วยบำรุงสมอง และเสริมสร้างความจำ นอกจากนี้ ฝรั่งก็อุดมไปด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เสริมสร้างสุขภาพหัวใจ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนแตงโมก็อุดมไปด้วยอุดมวิตามินเอ ที่ดีต่อสุขภาพดวงตา รวมถึงยังมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งและเบาหวาน

สำหรับแอปเปิ้ลก็อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ละลายในน้ำได้ จึงอาจช่วยลดคอเลสเตรอล ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งสูตรยำผลไม้นั้นถือเป็นเมนูที่เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก ส่วนผสมและเครื่องปรุงของ ยำผลไม้ • ส้มซันคิสต์ ครึ่งผล ให้พลังงาน 40 kcal • แอปเปิ้ลแดง ครึ่งผล ให้พลังงาน 25 kcal • แอปเปิ้ลเขียว ครึ่งผล ให้พลังงาน 25 kcal • โทงเทงฝรั่ง (Cape gooseberry) 50 กรัม ให้พลังงาน 26 kcal • สตรอว์เบอร์รี 5 ผล ให้พลังงาน 10 kcal • อัลมอนอบ 28 กรัม ให้พลังงาน 196 kcal • เมล็ดฟักทอง 28 กรัม ให้พลังงาน 126 kcal • กระเทียม 6 กรัม ให้พลังงาน 10 kcal • พริกแดง 5 เม็ด ให้พลังงาน 10 kcal • มะนาว 1 ผล ให้พลังงาน 20 kcal • น้ำตาลโตนด 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 60 kcal • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 3 kcal • ใบสะระแหน่ 10 กรัม ให้พลังงาน 3 kcal วิธีการทำ ยำผลไม้ เริ่มด้วยการตัดแต่งผลไม้ให้เป็นชิ้นขนาดพอคำ นำกระเทียม และพริกแดง มาซอย จากนั้นผสมน้ำยำ โดยใช้ขวดแก้ว ที่เลือกใช้วิธีนนี้ เพราะผสมง่ายสะดวกไม่หกเลอะเทอะ แถมช่วยให้ส่วนผสม ละลายเข้ากันได้ดีเติมส่วนผสมของน้ำยำซึ่งได้แก่ น้ำตาลโตนด น้ำปลา และน้ำมะนาว เติมพริก และกระเทียมที่ซอยไว้ลงไป จากนั้นปิดฝาแล้วเขย่า เมื่อส่วนผสมเข้ากันดี ก็นำมาราดลงผลไม้ อัลมอน และเมล็ดฟักทอง ที่เตรียมไว้ คลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ เป็นอันเรียบร้อย ยำผลไม้ฉบับต้านหวัด ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว พลังงานสำหรับจานนี้ ไม่มากไม่น้อย 554 kcal สำหรับใครคุมพลังงานอยู่ จะลดปริมาณ อัลมอน และเมล็ดฟักทองลงหน่อย ก็สามารถลดพลังงานรวมของเมนูนี้ไปได้มากเลยทีเดียว

2.กิจกรรมการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย จัดโดยวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 เท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในร่างกายของเรา นอกจากเท้าจะช่วยพาเราเดินทางไปในที่ต่างๆแล้วเท้ายังเป็นแหล่งรวมของจุดประสาทต่างๆมากมาย การที่จะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสุขภาพเท้าที่ดีเช่นกัน โดยการดูแลเท้าทั้ง2 ข้างของเราได้โดยการแช่เท้าในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ เพื่อเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือดมาที่เท้าได้มากขึ้น ลดอาการเลือดคั่งบริเวณอื่นเช่นศีรษะหรือช่องเชิงกรานลดอาการปวดศีรษะและอาการปวดท้องประจำเดือนลงได้ และช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับหรือหลับยาก การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย หลังการแช่เท้าในน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 36-38 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10-15 นาที แล้วเช็ดเท้าให้แห้งแล้วพักผ่อนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เวลาที่เหมาะต่อการแช่เท้าคือสามารถทำได้ทุกช่วงเวลาที่สะดวก แต่หากเพื่อต้องการช่วยให้นอนหลับง่าย แนะนำให้แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอนทุกคืน10-15 นาทีจะช่วยให้หลับง่ายหลับสบายและหลับลึกขึ้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอาจจะใส่เกลือในน้ำอุ่น 1-2 ช้อนชา ต่อน้ำอุ่นแช่เท้า 1 กะละมังหรือท่วมข้อเท้าพอสมควร หรือหากท่านชอบกลิ่นน้ำมันหอมระเหยอาจหยดน้ำมันหอมระเหยตามที่ชอบประมาณ 5-10 หยดขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในกะละมัง เพื่อให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากขึ้น ประโยชน์ของการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น 1. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายทำงานดีขึ้น 2. ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น 3. ลดอาการเท้าบวมได้ดีขึ้น 4. ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ข้อควรระวังสำหรับการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น 1. ระวังการแช่เท้าในน้ำอุ่นสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีประสาทรับรับความรู้สึกที่ช้าซึ่งอาจทำให้ผิวหนังพองได้ 2. ไม่ควรใช้กับผู้ที่มีบาดแผลหรือโรคผิวหนังที่เท้า 3. ระวังในผู้ที่แพ้น้ำมันหอมระเหย วิธีแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นแบบง่ายๆ ที่บ้าน การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น เป็นวิธีการสปาเท้าแบบง่ายๆ ที่สามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยเท้า และผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถทำได้ทุกวันอีกด้วย โดยวิธีการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นนั้นมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้ เตรียมน้ำอุ่น ขั้นตอนแรกในการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น คือ การเตรียมน้ำอุ่น โดยนำน้ำอุ่นใส่ลงในกะละมัง และประมาณน้ำที่ใส่ลงไปในกะละมังให้ท่วมในระดับข้อเท้า เช็กอุณหภูมิ ขั้นตอนต่อไปในการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น คือการเช็กอุณหภูมิ ซึ่งอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมนั้นควรอยู่ที่ 36-38 องศาเซลเซียส โดยสามารถเช็กด้วยการใช้มือแตะ หรือแช่ลงไปในน้ำประมาณ 10-15 วินาที ถ้าหากไม่รู้สึกร้อนหรือแสบที่ผิวมือ ก็สามารถใช้แช่เท้าได้เลย เพิ่มเกลือ และสมุนไพร หลังจากเช็กอุณหภูมิเรียบร้อยแล้ว ให้เพิ่มเกลือลงไปประมาณ 1-2 ช้อนชา พร้อมกับคนเกลือให้ละลาย และอาจจะใส่สมุนไพรลงไปตามใจชอบ หรือใส่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ เพื่อช่วยให้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น แช่เท้า ขั้นตอนสุดท้าย คือ การแช่เท้า โดยควรแช่เท้าลงไปในน้ำอุ่นผสมเกลือ และสมุนไพรต่างๆ ที่ได้เตรียมไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือนานกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน 30 นาที หลังจากแช่เท้าจนครบกำหนดเวลาแล้ว ควรเช็ดให้แห้งสนิทด้วยผ้าขนหนู 7 สมุนไพรแช่เท้าทำเอง สามารถหาได้ในครัว สูตรสมุนไพรแช่เท้าทำเองนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ เพราะว่าสมุนไพรส่วนใหญ่นั้นสามารถหาได้จากในครัว หรือหาซื้อได้ง่าย แถมยังมีสรรพคุณที่หลากหลายให้ทุกคนได้เลือกใช้ตามความต้องการ หรืออาการของตัวเองอีกด้วย โดยสมุนไพรแช่เท้าที่หาได้ในครัวมีทั้งหมด 7 ชนิด ดังนี้ 1. เกลือ เกลือ เป็นสมุนไพรที่พบได้บ่อยในสูตรสมุนไพรแช่เท้าทำเอง เพราะว่าสามารถหาได้ง่ายๆ ในครัว และมีสรรพคุณที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี ช่วยดึงสิ่งตกค้างภายในร่างกาย ช่วยดึงประจุพลังงานลบที่ไม่ดีต่อร่างกาย และช่วยให้การดูดซึมสมุนไพรแช่เท้าต่างๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น
การแช่เท้าด้วยเกลือนั้นสามารถทำได้ทุกวัน เพียงแค่นำเกลือประมาณ 1-2 ช้อนชาละลายไปในน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ และอาจเพิ่มสมุนไพร หรือน้ำมันหอมระเหยที่ชื่นชอบลงไป เพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น 2. การบูร การบูร เป็นอีกสมุนไพรที่พบได้บ่อยในสูตรสมุนไพรแช่เท้าทำเอง เพราะว่ามีสรรพคุณในการช่วยรักษาแผล และสมานแผลให้หายเร็วขึ้น พร้อมกับช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามปลายประสาทได้ดี จึงทำให้การบูรนั้นเหมาะกับการนำมาแช่เท้าในวันที่เดินเยอะ หรือใช้งานเท้าอย่างหนัก
การแช่เท้าด้วยการบูรนั้นสามารถทำได้ด้วยการนำการบูรประมาณ 1-2 ช้อนชาละลายไปในน้ำอุ่น หรืออาจจะนำไปละลายพร้อมกับเกลือก็ได้เช่นกัน เพื่อให้การแช่เท้าในน้ำอุ่นมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น 3. ตะไคร้ ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่นอกจากจะสามารถนำไปปรุงอาหาร เพื่อเพิ่มความหอมอร่อยได้แล้ว ยังเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมาแช่เท้า เพื่อช่วยผ่อนคลาย และลดอาการเมื่อยล้าได้อีกด้วย ซึ่งตะไคร้นั้นมีสรรพคุณในการช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี และยังมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในตัว จึงเหมาะกับการนำมาผสมกับการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น และเกลือเป็นอย่างมาก
โดยนำตะไคร้ไปทุบให้แหลกพอประมาณ และนำไปต้มในน้ำเดือด 15 นาที หลังจากนั้นจึงค่อยเติมเกลือ หรือการบูรตามลงไป พร้อมกับเติมน้ำเย็นก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมีอุณหภูมิสูงเกินไป เพียงเท่านี้ทุกคนก็มีสปาสมุนไพรแช่เท้าที่สามารถทำเองได้ง่ายๆ แล้ว 4. มะกรูด สมุนไพรที่นิยมนำมาใช้เป็นสมุนไพรแช่เท้าอีกชนิดหนึ่ง คือ มะกรูด เพราะว่ามะกรูดนั้นมีสรรพคุณที่หลากหลายเป็นอย่างมาก เช่น มีน้ำมันหอมระเหยในตัว สามารถช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี และช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย
โดยในสูตรสมุนไพรแช่เท้าทำเองนั้นมักจะใช้ในส่วนของผิวมะกรูด ทีได้จากการฝานหรือปลอกออกมาให้เป็นแผ่นบางๆ และนำไปต้มในน้ำเดือด 15 นาที ก่อนจะค่อยใส่เกลือ หรือการบูร และนำไปผสมกับน้ำเย็นที่เตรียมใส่กะละมังไว้ เพื่อให้ได้น้ำที่มีอุณหภูมิกำลังพอดี เพียงเท่านี้ก็จะได้สปาเท้าที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และบำรุงผิวให้สวยในเวลาเดียวกันแล้ว 5. ขมิ้น ขมิ้น เป็นสมุนไพรที่หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะว่าโดดเด่นในเรื่องของการช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียน สว่าง และกระจ่างใส แถมยังสามารถช่วยลดผดผื่น อาการคัน สมานแผล และลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย
โดยในสูตรสมุนไพรแช่เท้าทำเองนั้น จะนำขมิ้นไปฝานเป็นแว่น และนำไปต้มในน้ำเดือด 15 นาที หลังจากนั้นนำไปผสมกับน้ำเย็นที่เตรียมใส่กะละมังไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำร้อนเกินไป ทั้งนี้ อาจจะผสมกับเกลือหรือการบูรเพิ่มเติม เพื่อเสริมให้การแช่เท้านั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 6. ไพล ไพล เป็นอีกสมุนไพรที่โดดเด่นในเรื่องของการช่วยบำรุงผิวพรรณเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบ ลดอาการฟกช้ำ และลดอาการบวมได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยกระตุ้นให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นอีกด้วย
โดยในสูตรสมุนไพรแช่เท้าทำเองนั้น จะนำไพลไปฝานเป็นแผ่นบางๆ หรือหั่นเป็นแว่น ก่อนนำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นนำไปผสมกับน้ำเย็นที่ได้เตรียมใส่กะละมังไว้ เพื่อไม่ให้น้ำมีอุณหภูมิสูงเกินไป และอาจจะผสมกับเกลือ การบูร หรือสมุนไพรอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้การแช่เท้าในน้ำอุ่นมีประโยชน์มากขึ้น 7. น้ำมันหอมระเหย น้ำมันหอมระเหยนั้นมีหลากหลายกลิ่น และแต่ละกลิ่น หรือแต่ละชนิดนั้นจะมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน เช่น
• กลิ่นเปปเปอร์มินต์ เป็นกลิ่นที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม • กลิ่นยูคาลิปตัส เป็นกลิ่นที่ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี และช่วยให้หายใจได้สะดวก รวมถึง เพิ่มสดชื่นให้มากขึ้น
• กลิ่นคาโมมายล์ เป็นกลิ่นที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สบาย และสงบ แถมยังช่วยลดอาการคัน หรือผื่นคันได้อีกด้วย
ประโยชน์ของการแช่เท้าในน้ำอุ่น นอกจากช่วยผ่อนคลาย และลดอาการเมื่อยล้าแล้ว การแช่เท้าในน้ำอุ่นนั้นมีประโยชน์หลากหลายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น หรือช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เป็นต้น โดยประโยชน์ของการแช่เท้าในน้ำอุ่นมีทั้งหมด ดังนี้ ผ่อนคลาย และลดอาการเมื่อยล้า การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น หรือการแช่เท้าด้วยเกลือ สามารถช่วยผ่อนคลาย และลดอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี เพราะว่าเท้าอาจเกิดอาการเกร็ง หรือความเมื่อยล้าจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน ดังนั้น การแช่เท้าก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น หลังจากใช้งานเท้ามาตลอดทั้งวัน อาจทำให้กล้ามเนื้อที่เท้ามีอาการหดเกร็ง จึงทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นจึงช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นได้ ระบบย่อยอาหารดีขึ้น นอกจากนั้นการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นสามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นอีกด้วย เพราะว่าน้ำอุ่นจะไปช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากขึ้น และทำให้ระบบอื่นๆ ทำงานช้าลง เพื่อให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นเป็นวิธีทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะว่าช่วยให้รู้สึกสบายตัวจากการผ่อนคลาย และลดอาการเมื่อยล้าจากการแช่เท้าก่อนเข้านอน ลดอาการปวดต่างๆ ได้ดีการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น หรือการแช่เท้าด้วยเกลือสามารถช่วยลดอาการปวดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไ่ม่ว่าจะเป็น อาการปวดศีรษะ หรืออาการปวดท้องประจำเดือน เพราะว่าระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น จึงส่งผลให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และมีอาการปวดน้อยลง ข้อควรระวังในการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น ถึงแม้ว่าการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี แต่ว่าก็มีข้อควรระวังที่ทุกคนควรรู้ไว้ก่อนจะแช่เท้าในน้ำอุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียง หรืออันตรายที่อาจตามมาได้ โดยข้อควรระวังมีทั้งหมด 3 ข้อ ดังนี้ อุณหภูมิน้ำสูงเกินไป การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นนั้นควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิที่กำลังพอดี หรือไม่ร้อนเกินไป เพราะว่าถ้าแช่เท้าในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป อาจทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าแดง หรือเกิดอาการพุพองได้ ไม่ควรแช่หากเท้ามีบาดแผล สำหรับผู้ที่มีบาดแผลที่เท้า แผลอักเสบ แผลติดเชื้อ หรือเป็นโรคผิวหนังที่เท้า ไม่ควรแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น หรือแช่เท้าด้วยเกลืออย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้แผลหายช้า แถมยังเสี่ยงติดเชื้อ หรืออาการลุกลามมากกว่าเดิมอีกด้วย ผู้ป่วยบางโรคไม่ควรแช่ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดไม่ควรแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น เพราะอาจเกิดอาการต่างๆ ตามมาได้ โดยในผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นอาจเกิดแผลพุพองจากการแช่เท้า และแผลก็จะหายช้ากว่าปกติ ทั้งนี้ หากต้องการแช่ก็จำเป็นต้องระวังเรื่องอุณหภูมิของน้ำเป็นพิเศษ สำหรับในผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดอาจทำให้เส้นเลือดแตก และเกิดอันตรายได้

3.กิจกรรมฝึกสมาธิ ส่งเสริมสุขภาพ จัดโดยวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 วิธีฝึกนั่งสมาธิแบบพื้นฐาน ทำจิตใจให้สงบ มีประโยชน์กว่าที่คิด การนั่งสมาธิเป็นการฝึกปฏิบัติตนให้มีจิตที่ผ่องใส ลดความคิดฟุ้งซ่าน และทำให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน หลายคนอาจมองว่าการนั่งสมาธิมีความเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว สามารถนำการนั่งสมาธิมาปรับใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้มากมาย เพียงแต่อาจจะมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งแตกต่างกัน เมื่อเทียบกับการนั่งสมาธิวิปัสสนาในทางพุทธ การนั่งสมาธิ ในมุมมองของตะวันตก มักใช้คำว่า "Concentration" และ "Meditation" ที่สื่อความหมายถึงการทำสมาธิให้จิตใจสงบ เพื่อเคลียร์หัวให้โล่ง จะได้มีสติจดจ่อมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการทำงาน โดยในปัจจุบัน ยังนิยมนำมาปรับใช้กับการเล่นโยคะ ซึ่งการกำหนดลมหายใจให้ร่างกายสัมพันธ์กับจิตใจก็ถือเป็นท่าโยคะ ที่ช่วยเสริมให้ปอด และกะบังลมแข็งแรง ส่วนวัฒนธรรมตะวันออกก็มี "ชี่กง" และ "ไทชิ" ที่เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้ และฝึกสร้างสมดุลให้ร่างกายผ่านลมหายใจเข้า-ออก สำหรับการนั่งสมาธิในทางพระพุทธศาสนา นอกจากต้องการความสงบ ทำให้มีสติและเกิดปัญญาแล้ว ยังมีจุดประสงค์ในด้านการวิปัสสนา เช่น อานาปานสติ ที่สอนให้พิจารณาลมหายใจเข้า-ออก และตระหนักรู้ปัจจุบันขณะอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเมื่อฝึกนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ก็จะมีการแบ่งขั้นกรรมฐานต่างๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ จุดร่วมของการนั่งสมาธิก็คือ การทำจิตใจให้สงบ และจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น การตั้งใจทำงาน ก็ถือว่าเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน การนั่งสมาธิมีกี่แบบ และท่านั่งพื้นฐานที่ควรรู้ การนั่งสมาธิมีหลายแบบ และหลายระดับ ซึ่งในแต่ละระดับก็อาจมีฐานต่างๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนั่งสมาธิเจริญกรรมฐาน ว่าต้องการเพียงความสงบในจิตใจ หรือต้องการฝึกปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นธรรม โดยการนั่งสมาธิในระดับ "ญาณ" ก็จะต้องมีผู้รู้มาคอยชี้แนะในการปฏิบัติ แต่หากจะแบ่งการนั่งสมาธิแบบพื้นฐาน สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ 1. ขณิกสมาธิ : การทำสมาธิแบบชั่วครู่ เป็นขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการสมาธิในการเรียน และทำงาน มีสติรู้ตัวตนว่ากำลังทำอะไรอยู่ 2. อุปจารสมาธิ : การทำสมาธิในระยะเวลาที่นานขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังจะได้ฌาน และนิมิตต่างๆ ตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา ท่านั่งสมาธิแบบพื้นฐาน ผู้ปฏิบัติควรเลือกนั่งในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก โดยนั่งขัดสมาธิขาไขว้กันทับฝ่าเท้า มือวางซ้อนทับกัน หลังตรง หน้าตรง ไม่ก้มหรือเงยหน้า หลับตา พร้อมๆ กับค่อยๆ กำหนดลมหายใจเข้าออก วิธีแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น เมื่อหายใจเข้าให้กำหนด "พุท" และหายใจออกให้กำหนด "โธ" เพื่อให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจ ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ การนั่งสมาธินอกจากช่วยให้เรามีสมาธิ และสติในการปฏิบัติงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการลดความเครียด คลายความวิตก ฝึกความอดทนอดกลั้น ขจัดความคิดลบที่รบกวนจิตใจ และช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่ฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิขั้นพื้นฐาน ก็สามารถนั่งแบบเริ่มต้นได้ง่ายๆ เพียงครั้งละ 5-10 นาที เพื่อให้จิตใจสงบ จดจ่อกับสมาธิในการเรียน และทำงาน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้นก็ได้

4.กิจกรรมรวมพลังสร้างเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จัดโดยวันที่ 4 กันยายน 2567
ความดันโลหิต คือแรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดงที่เกิดจากการสูบฉีดเลือดของหัวใจ ส่วน ‘ความดันโลหิตสูง’ มีสาเหตุมาจากการที่หลอดเลือดแดงเสื่อมสภาพ ซึ่งนำไปสู่ภาวะการแข็งตัวและการตีบตันของหลอดเลือด ภาวะนี้เป็นตัวบ่งชี้ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และโรคเบาหวาน เป็น “โรคความดันโลหิตสูง” หรือยัง วัดจากอะไร ? การจะรู้ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่นั้น ต้องวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องวัดความดัน โดยควรวัดความดันหลังจากนั่งพักอย่างน้อย 30 นาที และหลังรับประทานอาหาร ดื่มกาแฟ สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงไปแล้ว ซึ่งค่าความดันที่ได้จะมีอยู่ 2 ค่า คือ ค่าความดันตัวบน ที่เกิดจากแรงดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (ค่าปกติไม่ควรเกิน 120 มิลลิเมตรปรอท) ค่าความดันตัวล่าง ที่เกิดจากแรงดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (ค่าปกติไม่ควรเกิน 80 มิลลิเมตรปรอท) ซึ่งหากค่าความดันโลหิตตัวบนสูงกว่า 130 ขึ้นไป และ/หรือ ค่าความดันตัวล่างสูงกว่า 80 ขึ้นไป จะถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงในระยะแรก ระดับน้ำตาลในเลือดสูงแค่ไหน จึงเป็นผู้ป่วยเบาหวาน? ผู้ป่วยเบาหวาน คือผู้ที่มีค่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 126 Mg/dL (มิลลิกรัม/เดซิลิตร) ทั้งนี้ จะต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เช่น ประวัติสุขภาพและอาการที่พบ สำหรับผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ดังนี้ ระดับน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ให้อยู่ระหว่าง 80-130 Mg/dL ระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ให้น้อยกว่า 180 Mg/dL การใช้เกณฑ์ตัวเลขดังกล่าวยังต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวานเป็นรายบุคคล โดยคำนึงถึงอายุ ระยะเวลาการเป็นเบาหวาน รวมถึงภาวะแทรกซ้อนและโรคร่วมที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ เพื่อการปรับเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกาย และปรับการใช้ยาให้เหมาะสมต่อไป ลดความดันโลหิตสูงและระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยทั้งในเรื่องการลดความดันโลหิต การลดระดับน้ำตาลในเลือด และการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งสามารถออกกำลังกายแบบผสมผสานทั้ง 3 รูปแบบ ดังนี้ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) เช่น การเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาชนิดต่างๆ ที่มีการกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักกว่าปกติอย่างต่อเนื่องมากกว่า 20 นาทีขึ้นไป ซึ่งในขณะออกกำลังกายหัวใจจะสูบฉีดเลือดแรงขึ้น ไขมันสะสมจะค่อยๆ ลดลง น้ำตาลในเลือดถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน ส่งผลให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นไม่แข็งเปราะ ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น หัวใจแข็งแรงขึ้น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดลง การออกกำลังกายโดยใช้แรงต้าน (Resistance Exercise) เช่น การยกดัมเบล วิดพื้น การใช้ยางยืด อุปกรณ์เวทเทรนนิ่งในยิม หรือการบอดี้เวทที่ใช้น้ำหนักของตัวเองหรือร่างกายเป็นแรงต้าน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และช่วยให้มีการเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นจากการมีมวลกล้ามเนื้อที่มากขึ้น จึงช่วยในเรื่องของการลดไขมันและลดระดับน้ำตาลในหลอดเลือด ซึ่งสัมพันธ์กับความดันโลหิตที่จะลดลงด้วย แต่ในผู้ป่วยเบาหวาน ‘ควรหลีกเลี่ยง’ การใช้แรงต้านที่มากหรือหนักเกินไป และไม่ควรทำท่าที่ต้องเกร็งค้างไว้นานๆ การออกกำลังกายแบบโยคะ (Yoka Exercise) นอกจากจะช่วยสร้างความสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับร่างกายแล้ว ยังช่วยลดความเครียด เพราะสมองจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขโดพามีน (Dopamine) ออกมา ร่างกายจึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ซึ่งส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต ก่อนออกกำลังกายควรปรึกษาแพทย์ สำหรับในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
หากมีอาการปวดหัว เวียนหัว หรืออ่อนเพลียเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มออกกำลังกาย เพราะหากมีความดันโลหิตสูงเกิน 180/110 มิลลิเมตรปรอท แพทย์มักแนะนำให้งดออกกำลังกายไปก่อน แต่สิ่งที่ควรทำคือการปรับพฤติกรรมการกิน การนอน หรือรักษาด้วยการกินยา เพื่อให้ความดันลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถออกกำลังกายได้แบบปลอดภัย ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงโรคประจำตัวเรื้อรังอื่นๆ ประกอบด้วย สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ถึงค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมกับการออกกำลังกายเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเท้าเปล่า ควรสวมรองเท้าที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดบาดแผล และสำรวจสุขภาพเท้าทุกครั้งหลังออกกำลังกายเสร็จ ไม่ออกกำลังกายในสภาพอากาศที่เย็นหรือร้อนจัด หากช่วงเวลาไหนควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ตามเกณฑ์ที่แพทย์กำหนดว่าให้ออกกำลังกายได้ก็ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายไปก่อน ทั้งนี้ควรตรวจเช็กระดับน้ำตาลในเลือดก่อนออกกำลังทุกครั้ง หากค่าที่ได้น้อยกว่า 100 mg% ควรทานคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 15 g. เพื่อให้มีพลังงานและปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้พร้อมกับการใช้แรง ออกกำลังกายมากแค่ไหนจึงพอดีและเพียงพอ? อาจเริ่มต้นด้วยเวลาเพียง 10-20 นาทีต่อวัน และในแต่ละสัปดาห์ให้เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ จนทำติดต่อกันได้ครั้งละ 30-60 นาที ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ได้อย่างน้อย 3-5 ครั้ง หรือรวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ และควรทำในเวลาเดิมๆ ของทุกวัน และไม่ควรฝืนเมื่อรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ หากมีอาการหน้ามืด เวียนหัว เหนื่อยหอบ ใจเต้นผิดปกติ กล้ามเนื้อล้าในขณะออกกำลังกาย ควรผ่อนแรงช้าๆ แล้วหยุดพัก แต่อย่าหยุดชะงักทันที เคล็ดลับการออกกำลังกายเพื่อความปลอดภัย หลังมื้ออาหารไม่ควรออกกำลังกายทันที ควรออกกำลังกายหลังจบมื้ออาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ควรสวมเสื้อผ้าที่ระบายเหงื่อได้ดี เลือกสถานที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนจัดและไม่ออกกำลังกายกลางแดดจ้า ค่อยๆ เพิ่มความหนักและเวลา ไม่หักโหมหรือรีบเร่ง โดยเริ่มจากการอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย 10 นาที และเมื่อเสร็จสิ้นการออกกำลังกาย ควรคลูดาวน์อย่างน้อย 10 นาที เช่นกัน การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน เช่น การยกดัมเบล การบอดี้เวท ไม่ควรกลั้นหายใจ ไม่เกร็งนานเกินไป และต้องเปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ เพื่อป้องกันความดันตกเฉียบพลัน ทั้งไม่ควรใช้ท่าทางที่ศีรษะต่ำกว่าลำตัว บันทึกความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อติดตามพัฒนาการ นอกจากการวัดความดันหรือระดับน้ำตาลในเลือดตามปกติแล้ว ควรจดตัวเลขไว้ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง รวมถึงประเภทและเวลาของการออกกำลังกายในแต่ละครั้ง เพื่อให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการของความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งแพทย์จะช่วยพิจารณาถึงความเหมาะสมในการออกกำลังกายให้ได้จากสถิติต่างๆ หากมีสมาร์ทวอทช์ที่บันทึกอัตราการเต้นของหัวใจได้ด้วย ยิ่งจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและวางแผนการรักษาให้ดีขึ้นได้อีก

ผลผลิตโครงการ

วัตถุประสงค์สถานการณ์เป้าหมายผลผลิตอธิบาย
1 ๑. เพื่อให้สมาชิกชมรมบานไม่รู้โรยสามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรังได้
ตัวชี้วัด : 1. สมาชิกชมรมบานไม่รู้โรย มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนไม่เกิน 5 %
5.00 5.00

สมาชิกชมรมบานไม่รู้โรย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน (จากผลการตรวจสุขภาพประจำปี)

ผู้เข้าร่วมโครงการ

กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 80 80
กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย
กลุ่มเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน -
กลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน -
กลุ่มวัยทำงาน -
กลุ่มผู้สูงอายุ -
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ
กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด -
กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 80 80
กลุ่มคนพิการและทุพพลภาพ -
กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง -
สำหรับการบริหารหรือพัฒนากองทุนฯ [ข้อ 10(4)] -

บทคัดย่อ*

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ๑. เพื่อให้สมาชิกชมรมบานไม่รู้โรยสามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรังได้

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (1) กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม (2) กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย (3) กิจกรรม ที่ 3 กิจกรรมฝึกสมาธิ ส่งเสริมสุขภาพ (4) กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมรวมพลังสร้างเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (5) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (6) กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม เมนูชูสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม (7) ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม (8) ค่าจัดซื้อวัตถุดิบอาหารสาธิต (9) ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม (10) ค่าสมุนไพรแช่เท้า (11) ค่าวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ (12) ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม (13) ค่าวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ (14) ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม (15) ค่าอาหารกลางวัน (16) ค่าวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ (17) ค่าป้ายประชาสัมพันธ์ชมรม (18) ค่าจัดทำรูปเล่มสรุปโครงการ

ข้อเสนอแนะ ได้แก่ (1) ...

หมายเหตุ *

  • บทคัดย่อ จะนำไปใส่ในส่วนบทคัดย่อของรายงานฉบับสมบูรณ์
  • หากต้องการใช้ค่าเริ่มต้นของบทคัดย่อ ให้ลบข้อความในช่องบทคัดย่อ ทั้งหมด แล้วกดปุ่ม Refresh

ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ

ปัญหาและอุปสรรคสาเหตุข้อเสนอแนะ

 

 

 


โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์บริการสาธารณสุขเตาหลวง (ชมรมบานไม่รู้โรย) จังหวัด สงขลา

รหัสโครงการ L7250-2-23

ได้ดำเนินกิจกรรมตามที่เสนอไว้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

................................
( นายปราณี กาเลี่ยง ตำแหน่ง ประธานชมรมบานไม่รู้โรย )
ผู้รับผิดชอบโครงการ
......./............/.......

vertical_align_topไปบนสุด