โครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กป้องกันโรคสมาธิสั้น ติดโทรศัพท์ ติดเกมส์
ชื่อโครงการ | โครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กป้องกันโรคสมาธิสั้น ติดโทรศัพท์ ติดเกมส์ |
รหัสโครงการ | 68-L8300 – 2-12 |
ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 2 สนับสนุนกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคของกลุ่มหรือองค์กรประชาชน/หน่วยงานอื่น |
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่หน่วยงานสาธารณสุข เช่น โรงเรียน |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | โรงเรียนบ้านฆอเลาะทูวอ |
วันที่อนุมัติ | 21 กุมภาพันธ์ 2568 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 3 มกราคม 2568 - 29 กันยายน 2568 |
กำหนดวันส่งรายงาน | 30 ตุลาคม 2568 |
งบประมาณ | 10,000.00 บาท |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นายโซเฟียน มะเย็ง |
พี่เลี้ยงโครงการ | |
พื้นที่ดำเนินการ | ตำบลแว้ง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส |
ละติจูด-ลองจิจูด | 5.936,101.835place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
---|---|---|
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
กลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน | 149 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน : |
||
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีปัญหาเด็กติดโทรศัพท์ ติดเกมส์ เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพราะพ่อ แม่ขาดความเข้าใจ เลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์มือถือ ให้เล่นเกมเพื่อจะได้อยู่นิ่งๆ และอยู่ในสายตาการปล่อยให้ลูกเล่นมือถือและทิ้งลูกอยู่กับหน้าจอเพียงลำพังนานเกินวันละหลายชั่วโมง อาจส่งผลให้เด็กจดจ่อกับเรื่องราวที่ผ่านตาเร็วเกินไป และไม่ยอมละสายตาเพื่อสนใจกับสิ่งรอบตัวอื่นรอบข้าง ด้วยการเคลื่อนไหวในสื่อต่าง ๆ บนหน้าจอมือถือหรือแท็ปเล็ตที่เปลี่ยนแปลงและมีความรวดเร็ว จะทำให้เกิดปัญหาการใช้สมองในส่วนความทรงจำลดลง และหากปล่อยให้ลูกเล่นเช่นนี้เป็นประจำทุกวันจะสะสมให้เด็กเกิดอาการ “สมาธิสั้น” ได้ จากสถิติเด็กอายุ 6-12 ปี ที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นในประเทศไทยซึ่งจัดเก็บตั้งแต่ปี 2555 พบว่า มีเด็กป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นมากถึง 1 ล้านคน พบในเด็กผู้ชายมากถึงร้อยละ 12 มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่พบร้อยละ 10 โดยอาการสมาธิสั้นส่วนใหญ่พบในเด็กอายุก่อน 7 ปี และจะมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน ซึ่งในประเทศไทยพบความชุกของโรคในเด็กนักเรียนชั้น ป.1-5 ถึงร้อยละ 8.1 ประมาณการได้ว่ามีเด็กนักเรียนชั้น ป.1-5 ทั่วประเทศป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นถึง 1 ล้านคน และมักพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ในอัตราส่วน 3:1 และหากไม่ได้รับการวินิจฉัย รักษา และปรับพฤติกรรมอย่างถูกต้อง เด็กจะมีโอกาสไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน เกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมากกว่าเด็กปกติ มีปัญหาการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ฯลฯ และส่งผลเป็นปัญหาระยะยาว เช่น กลายเป็นคนต่อต้านสังคม มีความเสี่ยงติดยาเสพติด เกิดภาวะซึมเศร้าและหากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ต้นจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านลบ และติดตัวไปจนถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่รพ.สต.บางด้วน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยป้องกันโรคสมาธิสั้น ติดโทรศัพท์ ติดเกมส์ เพื่อให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ปกครองเด็กที่มีพัฒนาการผิดปกติ และส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง เพื่อหลีกเลี่ยงโทษและปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตกับเด็กที่มาจากการติดโทรศัพท์ ติดเกมส์ จนกลายเป็นโรคสมาธิสั้น โรงเรียนได้ใช้แก้ปัญหา โดยใช้กระบวนการ 3 ป ในการแก้ปัญหา คือ ป้องกัน ปลูกฝัง ปราบปราม
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
---|---|---|---|
1 | เด็กวัยเรียนได้รับความรู้ในการป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเกม ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ในการป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเกม |
||
2 | เด็กวัยเรียนได้รับการส่งเสริมสุขภาพจิตให้เหมาะสมตามวัย ไม่เกิดโรคสมาธิสั้น ผู้เข้ารับการอบรมได้รับการส่งเสริมสุขภาพจิตให้เหมาะสมตามวัย ไม่เกิดโรคสมาธิสั้น |
||
3 | เด็กวัยเรียนติดเกมติดจอลดลงและใช้สื่อออนไลน์ในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น นักเรียนโรงเรียนบ้านฆอเลาะทูวอติดเกมติดจอลดลงและใช้สื่อออนไลน์ในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น |
วันที่ | ชื่อกิจกรรม | กลุ่มเป้าหมาย (คน) | งบกิจกรรม (บาท) | ทำแล้ว | ใช้จ่ายแล้ว (บาท) | |
---|---|---|---|---|---|---|
รวม | 0 | 0.00 | 0 | 0.00 |
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2568 15:04 น.