โครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวานและความดัน
ชื่อโครงการ | โครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวานและความดัน |
รหัสโครงการ | 62-2986-4 |
ประเภทการสนับสนุน | ประเภท 1 สนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของ หน่วยบริการ/สถานบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข |
หน่วยงาน/องค์กร/กลุ่มคน ที่รับผิดชอบโครงการ | หน่วยบริการหรือสถานบริการสาธารณสุข เช่น รพ.สต. |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | ศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลตะโละแมะนา |
วันที่อนุมัติ | 11 มีนาคม 2562 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 2 เมษายน 2562 - 31 กรกฎาคม 2562 |
กำหนดวันส่งรายงาน | 30 สิงหาคม 2562 |
งบประมาณ | 27,500.00 บาท |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นางสาวนูรฮูดาร์ วาเง๊าะ |
พี่เลี้ยงโครงการ | |
พื้นที่ดำเนินการ | ตำบลตะโละแมะนา อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี |
ละติจูด-ลองจิจูด | 6.604,101.401place |
(ตามแนบท้ายประกาศคณะอนุกรรมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคฯ พ.ศ. 2557)
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) | |
---|---|---|
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย | ||
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ | ||
กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง | 50 | keyboard_arrow_down |
กิจกรรมหลักตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง : |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำเป็นต้องมีการจัดหารอย่างเป็นระบบ เนื่องจากเป็นโรคที่ต้องดูแล รักษาอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายสูง แนวโน้มสัดส่วนโครงสร้างประชากรไทย มีกลุ่มผู้สูงอายุจะมากขึ้น และกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงและโรคเรื้อรังอื่นๆ ในขณะที่ประชากรวัยรุ่นและวัยทำงานมีวิถีชีวิตและพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเมตาบอลิค โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงซึ่งนำไปสู่โรคที่รุนแรงอื่นๆ ที่เป็นภาระหนักต่อระบบสาธารณสุขทั้งด้านการจัดบริการที่มีค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้้นมาก และเป็นสาเหตุของการสูญเสีชีวิตและอวัยวะ เช่น โรคไตวาย โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ตาบอด การตัดอวัยวะ ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวานสูงถึง 3.2 ล้านคน แต่เข้าถึงระบบบริการเพียงแค่ร้อยละ 41 ป่วยเป็นความดันโลหิตสูงถึง 10 ล้านคน แต่เข้าถึงระบบบริการแค่ร้อยละ 29 นอกจากนี้จากสถิติรายงานพบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมความดันโลหิตได้เพียงร้อยละ 30-40 และโรคเบาหวานควบคุมได้ดีเพียงร้อยละ 16 ทั้งสองโรคนี้เป็นสาเหตุของโรคร่วมที่ทำให้เสียชีวิตและอวัยวะ ต้องใช้ทรัพยากรที่หลากหลายทั้งผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีราคาแพงทางการแพทย์ในการดูแลรักษา เกิดสถาณการณ์การจัดทรัพยากรการรักษาพยาบาลที่ไม่เพียงพอและไม่คุ้มค่า มีความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการจัดการโรคเบาหวานความดันโลหิตสูงเป็นพิเศษ จากการคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ปี 2561 ในประชาชนกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 658 ราย พบความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 375 ราย คิดเป็นร้อยละ 61.98 และกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน จำนวน 151 ราย คิดเป็นร้อยละ 22.95 จะเห็นได้ว่ากลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง มีเกินครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนกลุ่มปกติ กลุ่มเหล่านี้ถ้าใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิมโอกาสที่จะเป็นโรคมีสูงมากและจะทำให้เกิดเป็นกลุ่มป่วยรายใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
---|---|---|---|
1 | เพื่อให้กลุ่มเสี่ยงได้เรียนรู้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง 1.1 ประชากรกลุ่มเป้าหมายได้รับการคัดกรอง ร้อยละ 90 1.2 ประชากรกลุ่มเสี่ยงได้รับการปรับพฤติกรรม ร้อยละ 50 |
0.00 | |
2 | เพื่อลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2.1 กลุ่มสงสัยโรคเบาหวานได้รับการวินิจฉัยไม่เกินร้อยละ 5 2.2 กลุ่มสงสัยโรคความดันโลหิตสูงได้รับการวินิจฉัย ไม่เกินร้อยละ 10 |
0.00 |
- สำรวจกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่มีอายุ 35 ปี ขึ้นไป
- จัดทำแผนการตรวจคัดกรองเป็นรายหมู่บ้าน
- ดำเนินการคัดกรองในกลุ่มเป้าหมายตามแผนที่วางไว้
- ค้นหาแกนนำในกลุ่มป่วยเพื่อเป้นผู้นำกลุ่มในการจัดการเรียนรู้ในชุมชน
- จัดการเรียนรู้ให้แก่กลุ่มเสี่ยง
- ปรับปรุงรูปแบบวิธีการปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตกลุ่มเสี่ยงเป็นรายบุคคล/รายกลุ่ม
- กิจกรรมเสริมพลังให้แก่กลุ่มเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้
- ติดตามประเมินผล
- สรุปโครงการ
- ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความรู้ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ดีขึ้น
- มีเครือข่าย/แกนนำด้านสุขภาพในชุมชน
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2562 11:26 น.