โครงการฟันดี ยิ้มสวย เคี้ยวอร่อย ด้วยวิธี SMART TECHNIQUE
3.1 จัดทำเอกสารนำเสนอโครงการ จำนวน 2 ครั้ง
3.2 จัดทำรูปเล่มรายงานผลโครงการเมื่อเสร็จโครงการ
มีรูปเล่มรายงานฉบับสมบูรณ์
2.1 สำรวจกลุ่มเป้าหมาย (เด็กอายุ 3-5 ปี) ในแต่ละศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งหมด 5 ศูนย์ ในสังกัด อบต.กำแพง
2.2 ดำเนินการตรวจฟันและสุขภาพช่องปากของเด็กนักเรียน
2.3 วิเคราะห์ข้อมูลแยกกลุ่มเด็กที่ต้องได้รับการอุดฟันด้วยเทคนิค SMART
2.4 ดำเนินการบูรณะฟันด้วยวิธี SMART technique ในเด็กที่มีฟันน้ำนมผุ
2.5 ติดตามประเมินผลประสิทธิภาพของการอุดฟันด้วยเทคนิค SMART technique หลังให้บริการ 1 เดือน
ได้รับการบูรณฟันด้วย SMART TECHNIQUE 137/284 คน/ซี่ (จำนวนคนที่อุดได้คิดเป็นร้อยละ 62.27 และจำนวนซี่ที่ได้อุดคิดเป็นร้อยละ 61.61 )
ติดตามประเมินผลประสิทธิภาพของการอุดฟันด้วยเทคนิค SMART technique หลังให้บริการ ได้สุ่มตรวจทั้งหมด 69 คน คิดเป็นร้อยละ 52.55 ของจำนวนเด็กที่ได้รับการบูรณะฟัน ปรากฎดังนี้
สุ่มตรวจทั้งหมด 102 ซี่
การยึดติดของวัสดุกับฟันติดสภาพดี 87 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 85.30 หลุดบางส่วน 11 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 10.78 หลุดทั้งหมด 4 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 3.92
อบรมฟื้นฟูและให้ความรู้เพื่อเพิ่มทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ปกครองเด็กรายใหม่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (จัดอบรมแบ่งเป็น 5 วัน)
ฝึกปฏิบัติทักษะการแปรงฟัน แบบ Hand on ให้แก่ผู้ปกครอง
ผู้ปกครองที่เข้าร่วมได้รับการอบรม มีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 22.04 ก่อนการอบรม มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 60.28 และหลังการอบรม มีคะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละ 82.2
ผู้ปกครองรายเก่าที่ได้รับการประเมิน การสังเกตการแปรงฟัน สามารถทำท่าทางในการแปรงฟันได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 84.81 บับปริมาณยาสีฟันได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 84.10 แปรงนาน 2 นาที คิดเป็นร้อยละ 82.23 และผู้ปกครองที่สามารถแปรงฟันได้ถูกทุกซี่ คิดเป็นร้อยละ 84.80
จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง พบว่า เด็กส่วนใหญ่จะอยู่กับแม่หรือย่ายาย โดยผู้ปกครองจะแปรงฟันให้ หรือให้เด็กแปรงฟันเองและแปรงซ้ำให้อีกรอบ เด็กส่วนใหญ่ยังกินนมช็อกโกแลตและนมเปรี้ยวมากกว่ากินนมจืด การแปรงฟันก่อนนอนยังไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากเด็กจะอาบน้ำช่วงเย็นหลังกลับจาก รร. และรับประทานอาหารหลังจากนั้น จึงทำให้ก่อนนอนเด็กจะไม่แปรงฟันอีก แล้วรับประทานอาหารของหวาน ขนมหวาน จึงให้ง่ายต่อการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็ก