กองทุนสุขภาพตำบล - กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น - กปท

ผลการดำเนินโครงการ

สรุปผลการดำเนินโครงการ

ผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรม:
บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
บรรลุตามวัตถุประสงค์บางส่วนของโครงการ
ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

กิจกรรมที่ 1 อบรมฟื้นฟูให้ความรู้และเพิ่มทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ปกครองเด็กในพัฒนาเด็กเล็ก

ตัวชี้วัดความสำเร็จ: ร้อยละ 80 ของผู้ปกครองเด็กมีความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากของ เด็กเพิ่มขึ้น

  • ผู้ปกครองรายใหม่

ผลการดำเนินงาน

  • ก่อนการอบรม ผู้เข้าอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฟันผุ การดูแลสุขภาพช่องปาก อาหารที่มีประโยชน์และโทษ ได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 60.28 มีผู้ได้คะแนนสูงสุด 9 คะแนน และได้คะแนนต่ำสุด 1 คะแนน โดยมีคะแนนเฉลี่ย 6.02 คะแนน

  • หลังการอบรม ผู้เข้าอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฟันผุ การดูแลสุขภาพช่องปาก อาหารที่มีประโยชน์และโทษ ได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 83.38 มีผู้ได้คะแนนสูงสุด 10 คะแนน และได้คะแนนต่ำสุด 6 คะแนน โดยมีคะแนนเฉลี่ย 8.33 คะแนน

ผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 54 คน จากการทำแบบทดสอบก่อน-หลังการอบรมแสดงให้เห็นว่าเมื่อเสร็จสิ้นการอบรมแล้วผู้เข้าร่วมอบรมมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 23.1

  • ผู้ปกครองรายเก่า

ผลการดำเนินงาน

  • ผู้ปกครองรายเก่าทั้งหมด 283 คน จากสังเกตโดยการทำแบบประเมินทักษะการแปรงฟันที่ถูกวิธี (Hand on) แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองรายเก่าที่ได้รับการประเมินการสังเกตการแปรงฟัน สามารถทำท่าทางในการแปรงฟันได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 84.81 บีบปริมาณยาสีฟันได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 84.10 แปรงนาน 2 นาที  คิดเป็นร้อยละ 82.33 และผู้ปกครองที่สามารถแปรงได้ถูกทุกซี่ทุกด้าน คิดเป็นร้อยละ 84.80

  • จะเห็นได้ว่าหลังการประเมินผู้ปกครองรายเก่าที่ได้รับการประเมินการสังเกตการแปรงฟันยังคงมีความรู้ และมีทักษะในการแปรงฟันให้เด็กได้อย่างถูกวิธีซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน


กิจกรรมที่ 2 บูรณฟันด้วยวิธี SMART technique ในเด็กที่มีฟันน้ำนมผุ

  • ตัวชี้วัดความสำเร็จ : ลดอัตราการเกิดโรคฟันผุ ลดการสูญเสียฟันน้ำนม และลดการผุซ้ำในฟันกรามน้ำนมที่อุดไปอย่างน้อยร้อยละ 50

  • ตัวชี้วัดความสำเร็จ : เด็กอายุ 3-5 ปีได้เข้าถึงการรับบริการอุดฟันมากขึ้น

ผลการดำเนินงาน ได้ดำเนินการบูรณะฟันในรายที่มีฟันน้ำนมผุในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้ง 5 ศูนย์

  • จำนวนเด็กทั้งหมด      337    คน

  • ได้ตรวจฟันทั้งหมด      303    คน    คิดเป็นร้อยละ 89.91

  • จำนวนเด็กที่ปราศจากฟันผุ      83    คน    คิดเป็นร้อยละ 27.39

  • จำนวนเด็กที่มีฟันผุ    220/461 คน/ซี่  คิดเป็นร้อยละ 72.61

  • จำนวนเด็กที่ได้รับการบูรณะฟัน ทั้งหมด 137/284  คน/ซี่  คิดเป็นร้อยละ 62.27

ดังนั้นนักเรียนที่ได้รับการบูรณฟันแล้วสามารถควบคุมรอยโรคฟันผุไม่ให้ลุกลามต่อในฟันน้ำนม และลดโอกาสเสี่ยงโรคฟันผุได้ถึงร้อยละ 50

ผลการดำเนินงาน จากการสำรวจสภาวะช่องปากมีเด็กได้รับการบูรณะฟันเพียง 15.20 โดยหลังจากการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ เด็กได้รับการเข้าถึงบริการเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 62.27 มีการติดตามผล 1 เดือนภายหลังการอุดฟันด้วยเทคนิค SMART ได้สุ่มตรวจทั้งหมด 68 คน คิดเป็นร้อยละ 77.36 ของจำนวนเด็กที่ได้รับการบูรณะฟันปรากฏดังนี้

  • สุ่มตรวจทั้งหมด 105 ซี่

  • การยึดติดของวัสดุกับฟันติดสภาพดี 95 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 90.48

  • หลุดบางส่วน 7 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 6.67

  • หลุดทั้งหมด 3 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 2.86

จากการสุ่มตรวจหลังการได้รับการอุดฟันแล้ว 1 เดือนแล้วพบว่าเด็กไม่มีอาการปวดฟันหลังการรักษาคิดเป็น ร้อยละ 100 พบรอยโรคหลังการรักษา คิดเป็นร้อยละ 100.00 คุณภาพชีวิตหลังการรักษาพบว่า เด็กสามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติคิดเป็นร้อยละ 100 รับประทานอาหารได้มากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 39.02 และในภาพรวมผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่เด็กได้เข้าถึงบริการและได้รับการบูรณะฟัน

ผลผลิตโครงการ

วัตถุประสงค์สถานการณ์เป้าหมายผลผลิตอธิบาย
1 เพื่อฟื้นฟูให้ความรู้และเพิ่มทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ปกครองเด็กรายใหม่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
ตัวชี้วัด : 1. ร้อยละ 80 ของผู้ปกครองเด็กมีความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กเพิ่มขึ้น
80.00 82.22

 

2 เพื่อลดการผุลุกลามของฟันกรามน้ำนมในเด็กอายุ 3-5 ปี
ตัวชี้วัด : 1. ลดอัตราการเกิดโรคฟันผุ ลดการสูญเสียฟันน้ำนม และลดการผุซ้ำในฟันกรามน้ำนมที่อุดไปอย่างน้อยร้อยละ 50
56.25 50.00 52.55

 

3 เพื่อให้เด็กอายุ 3-5 ปีได้รับการอุดฟันเพิ่มขึ้น
ตัวชี้วัด : 1. เด็กอายุ 3-5 ปีได้เข้าถึงการรับบริการอุดฟันมากขึ้น
80.00 89.91

 

ผู้เข้าร่วมโครงการ

กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 162
กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
กลุ่มเป้าหมายจำแนกตามช่วงวัย
กลุ่มเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน 162
กลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน -
กลุ่มวัยทำงาน -
กลุ่มผู้สูงอายุ -
กลุ่มเป้าหมายจำแนกกลุ่มเฉพาะ
กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด -
กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง -
กลุ่มคนพิการและทุพพลภาพ -
กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภาวะเสี่ยง -
สำหรับการบริหารหรือพัฒนากองทุนฯ [ข้อ 10(4)] -

บทคัดย่อ*

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโรคฟันผุจะเพิ่มขึุ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่เด็กมีอายุ 1-3 ปี และพบว่าเด็กไม่ได้รับการรักษาด้วยการอุด จะทำให้มีการลุกลามจนทะลุโพรงประสาทเกิดอาการทรมานทำให้เด็กไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ รับประทานอาหารได้น้อยลง เกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของเด็ก หากเด็กสูญเสียฟันน้ำนมก่อนกำหนดจะทำให้ไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด มีผลต่อภาวะโภชนาการส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ทำให้การเจริญเติบโตของเด็กลดลงตามจำนวนฟันผุ

จากการสำรวจเด็กทั้งหมดในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงในปี พ.ศ. 2559 - 2562 พบฟันผุร้อยละ 75.18,72.6,69.2 และ53.04 ตามลำดับ การสำรวจสภาวะโรคฟันผุในเด็ก 3 ขวบ ปี พ.ศ.2562 มีค่าเฉลี่ยฟันผุคนละประมาณ 3.42 ซี่ต่อคน  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพง มีจำนวน 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านควนไสน จำนวนเด็กที่ได้ตรวจ 50 คน ฟันผุ 22 คน คิดเป็นร้อยละ 44.00 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านท่าแลหลา เด็กที่ได้ตรวจจำนวน 57 คน ฟันผุ 30 คน คิดเป็นร้อยละ 52.63 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านปากปิง เด็กที่ได้ตรวจจำนวน 88 คน ฟันผุ 56 คน คิดเป็นร้อยละ 63.64 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าฝาง เด็กที่ได้ตรวจจำนวน 64 คน ฟันผุ 35 คน คิดเป็นร้อยละ 54.69 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านตูแตหรำ เด็กที่ได้ตรวจจำนวน 29 คน ฟันผุ 19 คน คิดเป็นร้อยละ 65.52 จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า มีอุบัติการณ์โรคฟันผุสูง และพบว่าเด็กไม่ได้รับการรักษาด้วยการอุดฟัน ทำให้มีฟันผุลุกลามจนทะลุโพรงประสาทฟัน เกิดอาการปวดทรมานทำให้เด็กไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ รับประทานอาหารได้น้อยลง เกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของเด็ก

SMART หรือ Simplified Modified Atrumatic Restoration Technique เป็นเทคนิคการอุดฟันที่คิดค้นเพื่อใช้ในการบูรณะฟันในกรณีที่ไม่สามารถจัดบริการรักษาแบบปกติได้ เป็นการให้บริการทันตกรรมเชิงรุก สามารถดำเนินการในชุมชนได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เทคนิคนี้ได้มีการพัฒนาวัสดุทางทันตกรรมที่มีชื่อว่า กลาสไอโอโนเมอร์ ซีเมนต์ ที่มีคุณสมบัติที่ดี มีการปลดปล่อยฟลูออไรด์ในปริมาณสูง ซึ่งฟลูออไรด์ที่ปลดปล่อยออกมามีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เพิ่มการคืนกลับของแร่ธาตุ มีความสำคัญต่อการควบคุมการเกิดฟันผุหรือป้องกันการเกิดฟันผุซ้ำ จากการการทบทวนของ Yip และ Smales ในปี ค.ศ. 2006 พบว่า การใช้กลาสไอโอโนเมอร์ ซีเมนต์เป็นสารเคลือบหลุมร่องฟันและใช้ในการทำ SMART พบว่า อัตราการยึดสมบูรณ์มีประมาณร้อยละ 70 และอัตราการเกิดฟันผุอยู่ในช่วง ร้อยละ 0-4 (อัตราการคงอยู่ละฟันไม่ผุเพิ่ม ร้อยละ 96) ส่วนเครื่องมือที่นำไปใช้ในการทำ SMART เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้มือ (Hand instrument) ในการอุดฟัน ประโยชน์ของการทำ SMART ด้วยกลาสไอโอโนเมอร์ ซีเมนต์ คือ ค่าใช้จ่ายต่ำ เป็นการปรับพฤติกรรมเด็ก เจ็บปวดน้อย ลดการผุลุกลามสามารถเก็บฟันไว้ได้โดยไม่ต้องถอน ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ ซึ่งประสิทธิผลในการบูรณะด้วยวิธีนี้ ได้แนะนำให้เลือกใช้ในกิจกรรมโปรแกรมทันตสุขภาพในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือโรงเรียนได้ดี

โครงการฟันดี ยิ้มสวย เคี้ยวอร่อย ด้วยวิธี SMART TECHNIQUE ปีงบประมาณ 2563 หน่วยงานที่รับผิดชอบ ฝ่ายทันตสาธารณสุข โรงพยาบาลละงู ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพง จำนวน 111,147 บาท วัตถุประสงค์โครงการ เพื่อฟื้นฟูให้ความรู้และเพิ่มทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ปกครองเด็กรายใหม่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อลดการผุลุกลามของฟันกรามน้ำนมในเด็กอายุ 3-5 ปี และเพื่อให้เด็กอายุ 3-5 ปีได้รับการอุดฟันเพิ่มขึ้น


กิจกรรมที่ดำเนินการ ดังนี้

กิจกรรมที่ 1 ด้านส่งเสริมป้องกัน

1.1 อบรมฟื้นฟูและให้ความรู้เพื่อเพิ่มทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ปกครองเด็กรายใหม่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (จัดอบรมแบ่งเป็น 5 วัน)

1.2 ฝึกปฏิบัติทักษะการแปรงฟัน แบบ Hand on ให้แก่ผู้ปกครอง


กิจกรรมที่ 2 ด้านการรักษา

2.1 สำรวจกลุ่มเป้าหมาย (เด็กอายุ 3-5 ปี) ในแต่ละศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งหมด 5 ศูนย์ ในสังกัด อบต.กำแพง

2.2 ดำเนินการตรวจฟันและสุขภาพช่องปากของเด็กนักเรียน

2.3 วิเคราะห์ข้อมูลแยกกลุ่มเด็กที่ต้องได้รับการอุดฟันด้วยเทคนิค SMART

2.4 ดำเนินการบูรณะฟันด้วยวิธี SMART technique ในเด็กที่มีฟันน้ำนมผุ

2.5 ติดตามประเมินผลประสิทธิภาพของการอุดฟันด้วยเทคนิค SMART technique หลังให้บริการ 1 เดือน


กิจกรรมที่ 3 รายงานผลโครงการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จำนวน 2 ครั้ง

3.1 จัดทำเอกสารนำเสนอโครงการ จำนวน 2 ครั้ง

3.2 จัดทำรูปเล่มรายงานผลโครงการเมื่อเสร็จโครงการ


ผลการดำเนินงาน

  1. ผู้ปกครองที่เข้าร่วมได้รับการอบรม มีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 22.04 ก่อนการอบรม มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 60.28 และหลังการอบรม มีคะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละ 82.2

  2. ผู้ปกครองรายเก่าที่ได้รับการประเมิน การสังเกตการแปรงฟัน สามารถทำท่าทางในการแปรงฟันได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 84.81 บับปริมาณยาสีฟันได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 84.10 แปรงนาน 2 นาที คิดเป็นร้อยละ 82.23 และผู้ปกครองที่สามารถแปรงฟันได้ถูกทุกซี่ คิดเป็นร้อยละ 84.80

  3. จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง พบว่า เด็กส่วนใหญ่จะอยู่กับแม่หรือย่ายาย โดยผู้ปกครองจะแปรงฟันให้ หรือให้เด็กแปรงฟันเองและแปรงซ้ำให้อีกรอบ เด็กส่วนใหญ่ยังกินนมช็อกโกแลตและนมเปรี้ยวมากกว่ากินนมจืด การแปรงฟันก่อนนอนยังไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากเด็กจะอาบน้ำช่วงเย็นหลังกลับจาก รร. และรับประทานอาหารหลังจากนั้น จึงทำให้ก่อนนอนเด็กจะไม่แปรงฟันอีก แล้วรับประทานอาหารของหวาน ขนมหวาน จึงให้ง่ายต่อการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็ก

  4. ได้รับการบูรณฟันด้วย SMART TECHNIQUE 137/284 คน/ซี่ (จำนวนคนที่อุดได้คิดเป็นร้อยละ 62.27 และจำนวนซี่ที่ได้อุดคิดเป็นร้อยละ 61.61 )

  5. จากการสุ่มตรวจหลังการได้รับการอุดฟันแล้ว 1 เดือนแล้ว พบว่า เด็กไม่มีอาการปวดฟันหลังการรักษา คิดเป็นร้อยละ 100 พบรอยโรคหลังการรักษา คิดเป็นร้อยละ 2.44 คุณภาพชีวิตหลังการรักาา พบว่า เด็กสามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ คิดเป็นร้อยละ 100 รับประทานอาหารได้มากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 15.25 และในภาพรวมผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่เด็กได้เข้าถึงบริการและได้รับการบูรณาการฟัน

ปัญหาอุปสรรคในการ

  1. เนื่องจากผู้ปกครองที่มาอบรมไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนด บางส่วนมาล่าช้า จึงทำให้ไม่ได้รับความรู้ครบถ้วน

  2. ตอนที่อบรมผู้ปกครองบางศูนย์ไม่ได้แยกเด็กกับผู้ปกครองทำให้เด็กอาจจะรบกวนผู้ปกครองในขณะที่กำลังอบรมความรู้ ทำให้ผู้ปกครองไม่มีสมาธิในการฟังความรู้

  3. เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงต้องขอเลื่อนการให้บริการออกหน่วยอุดฟันเด็กด้วยวิธี SMART TECHNIQUE จึงทำให้ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้

  4. เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงให้บริการรักษาได้ไม่ครบทุกคน เด็กบางคนเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด

  5. เนื่องจากมีการขยายระยะเวลาในการสุ่มออกไปจึงทำให้มีการเลื่อนเด็กชั้นปีสุดท้ายไปอยู่ชั้นอนุบาลโรงเรียนอื่นทำให้ไม่สามารถสุ่มในเด็กกลุ่มนี้ได้

ข้อเสนอแนะ

  1. คุณครูประสานงานเน้นย้ำให้ผู้ปกครองที่เข้าร่วมอบรมมาตรงต่อเวลา

  2. สถานที่ในการจัดอบรมควรเป็นสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

  3. เน้นย้ำให้ผู้ปกครองนำเด็กมารับบริการในวัน เวลา ที่ได้ระบุไว้เพื่อผลประโยชน์ของเด็ก

  4. การจัดโครงการนี้ในปีถัดไปควรมีการติดตามผลการยึดติดในเด็กชั้นอนุบาลด้วยเพื่อดูประสิทธิภาพของการยึดติด

หมายเหตุ *

  • บทคัดย่อ จะนำไปใส่ในส่วนบทคัดย่อของรายงานฉบับสมบูรณ์
  • หากต้องการใช้ค่าเริ่มต้นของบทคัดย่อ ให้ลบข้อความในช่องบทคัดย่อ ทั้งหมด แล้วกดปุ่ม Refresh