2. ความสอดคล้องกับแผนงาน
3. สถานการณ์
สุขภาพช่องปากมีความสำคัญต่อสุขภาพของทุกคน โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัย โรคฟันผุในเด็กสามารถ พบได้ตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้นในช่วงขวบปีแรก และอัตราการผุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 1-3 ปี และส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงฟันแท้ในกลุ่มเด็กวัยเรียน สาเหตุหลักที่ ทำให้เด็กมีฟันผุ มาจากพฤติกรรมของมารดาในการเลี้ยงดูบุตรที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงการดูแลทำความสะอาด ช่องปากไม่ถูกวิธี จากผลการสำรวจพฤติกรรมด้านทันตสุขภาพเปรียบเทียบเด็ก 3 ปี และเด็ก 5 ปี ที่มาสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กอายุ 3 ปี มีพฤติกรรมแปรงฟันเองร้อยละ 40.1 และเด็กอายุ 5 ปี มีพฤติกรรมแปรงฟันเองเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80.4 การแปรงฟันเองของเด็กไม่สะอาด เท่าการที่มีผู้ปกครองช่วยแปรงฟันให้ ประกอบกับจากการสำรวจพบว่าเด็กอายุ 3 ปี มีพฤติกรรมดื่มนมรสหวาน/รสเปรี้ยวร้อยละ 44.5 และเด็กอายุ 5 ปี มีพฤติกรรมดื่มนมรสหวาน/รสเปรี้ยวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 47.6 เมื่อมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสมก่อให้เกิดโรคฟันผุในฟันน้ำนมอย่างรุนแรง ผลการสำรวจสภาะทันตสุขภาพเปรียบเทียบเด็ก 3 ปี และเด็ก 5 ปี ที่มาสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กอายุ 3 ปี มีฟันผุร้อยละ 52.9 และเด็ก 5 ปีมีฟันผุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75.6 โดยมีฟันผุต้องอุดในเด็ก 3 ปี ร้อยละ 27.5 และฟันผุต้องอุดเพิ่มขึ้นในเด็กอายุ 5 ปีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 53.2 อีกทั้งพบว่าเด็ก 3 ปีมีฟันผุต้องถอนร้อยละ 13 และเด็ก 5 ปีมีฟันผุต้องถอนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20.1 จะเห็นได้ว่ายิ่งเด็กอายุมากขึ้น ฟันผุก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เด็กมีความเจ็บปวด เคี้ยวอาหารไม่ได้ตามปกติ ได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอและส่งผลต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตของเด็กได้ กล่าวคือ ฟันน้ำนมที่เสีย ถูกถอน หรือหลุดไปก่อนที่ฟันแท้จะขึ้นแทนที่ จะทำให้ฟันที่อยู่ติดกันรวน เก ล้ม เอียง เข้าหาช่องว่าง ทำให้ฟันแท้ที่จะขึ้นแทนตำแหน่งนั้นไม่สามารถขึ้นได้อย่างปกติ อาจจะขึ้นมาในลักษณะบิด ซ้อนกันหรือมีขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสมกับใบหน้าของเด็ก ซึ่งจะเป็นปมด้อยทำให้เด็กไม่กล้าในการแสดงออก การแก้ไขปัญหาดังกล่าวทำได้โดยการใช้รูปแบบการให้บริการทันตกรรมครบวงจร การตรวจสุขภาพ ช่องปาก การให้สุขศึกษา บริการทันตกรรม การแปรงฟันที่ถูกวิธี การบำบัดรักษา และการติดตาม ประเมินผล ประกอบกับเมื่อมีฟันน้ำนมผุ ทำให้เด็กไม่อยากทานอาหารเพราะเคี้ยวลำบาก และอาการปวดฟันที่คอยรบกวนจิตใจในเวลาเรียน ผู้ปกครองมักเข้าใจว่า ฟันน้ำนมผุไม่เป็นไร เพราะยังไม่ใช่ฟันแท้ และอีกสักพักหนึ่งฟันน้ำนมเหล่านี้ก็จะหลุดไปเอง ส่วนเด็กๆ ก็กลัววิธีการรักษาของทันตแพทย์ที่ใช้เครื่องกรอฟัน ทำให้กลัวที่จะพบทันตแพทย์จำเป็นต้องได้รับการอุดฟันแบบSMART Technique และหยุดฟันผุด้วย silver diamine fluoride (SDF) การเกิดฟันผุในฟันน้ำนม นอกจากจะมีผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพของเด็กในขณะนั้นแล้ว ยังมีผลเสีย ต่อฟันแท้ของเด็กในอนาคตด้วย สอดคล้องกับผลการสำรวจพฤติกรรมด้านทันตสุขภาพเด็ก 12 ปี พบว่าเด็กอายุ 12 ปีตำบลลำไพลที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเครือข่ายสถานศึกษาลำไพลมีพฤติกรรมแปรงฟันก่อนนอนร้อยละ 83 ที่มาจากแบบบันทึกสภาวะสุขภาพช่องปากและปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังทันตสุขภาพ อำเภอเทพา พ.ศ.2566 โดยสูงกว่าระดับอำเภอเทพาอยู่ที่ร้อยละ 36.3 และระดับจังหวัดสงขลาอยู่ที่ร้อยละ 38.6 ที่มาจากสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 และสอดคล้องกับผลการสำรวจสภาะทันตสุขภาพเด็ก 12 ปี พบว่าเด็กอายุ 12 ปีตำบลลำไพลที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเครือข่ายสถานศึกษาลำไพล มีฟันผุร้อยละ 47.7 ซึ่งสูงกว่าระดับอำเภอเทพาอยู่ที่ร้อยละ 11.1 ระดับจังหวัดสงขลาอยู่ที่ร้อยละ 35.2 ที่มาจาก HDC จังหวัดสงขลา ข้อมูล สืบค้นข้อมูล ณ 30 เม.ย. พ.ศ.2567 เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาเข้าถึงการรับบริการทางทันตกรรม และมีกิจกรรมส่งเสริมด้านทันตสุขภาพ ทำให้สุขภาพช่องปากนักเรียนดีขึ้น พบว่าเด็กอายุ 12 ปีตำบลลำไพลมีฟันดีไม่มีผุ (Cavity free) ร้อยละ 75.4 ซึ่งสูงกว่าระดับจังหวัดสงขลาอยู่ที่ร้อยละ 72.8 และสูงกว่าระดับประเทศ 66.7 ที่มาจากผลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 รายงานการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจังหวัดสงขลา ปี พ.ศ.2566 สืบค้นข้อมูล ณ 30 เม.ย. พ.ศ.2567หลังจากดำเนินโครงการเครือข่ายโรงเรียนเด็กไทยฟันดีตำบลลำไพลเมื่อปี 2562 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลลำไพลเป็นเงิน 49,000 บาท ได้รับรางวัลชนะเลิศเครือข่ายโรงเรียนเด็กไทยฟันดีระดับจังหวัดสงขลา และรางวัลระดับดีเยี่ยมเครือข่ายโรงเรียนเด็กไทยฟันดี
ระดับประเทศ และขาดการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทางกลุ่มงานทันตกรรมโรงพยาบาลเทพาร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าไทร และกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลลำไพล ได้ให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังทันตสุขภาพและตระหนักถึง ความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมสุขภาพ (การป้องกันทันตสุขภาพในเด็กก่อนวัยเรียนและเด็กประถม) ขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถดูแลทำความสะอาด ช่องปากอย่างถูกวิธี และมีพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสม โดยการให้ความรู้ผู้ปกครอง ครู โดยเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลและให้ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อให้เด็กมีสุขภาพฟันที่ดี และลดจำนวนฟันที่ผุดังกล่าวข้างต้น จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมสุขภาพ (การป้องกันทันตสุขภาพในเด็กก่อนวัยเรียนและเด็กวัยเรียน) ขึ้น และเพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมทันตสุขภาพในโรงเรียน สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการส่งเสริมป้องกันไม่ให้โรคในช่องปากเด็กวัยประถมศึกษาลุกลามไปยังฟันแท้และทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในชุมชนทั้ง ทันตบุคลากร บุคลากรครู ผู้ปกครอง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตลอดถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เครือข่ายสถานศึกษาลำไพลซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนบ้านแม่ที โรงเรียนบ้านลำไพล โรงเรียนลำไพลราษฎร์อุทิศ โรงเรียนบ้านลำเปา โรงเรียนบ้านทุ่งโพธิ์ โรงเรียนบ้านท่าไทร โรงเรียนวัดปริก และโรงเรียนบ้านควนเจดีย์ ร่วมกันในการดำเนินงานส่งเสริมทันตสุขภาพในโรงเรียนในรูปแบบของเครือข่ายภายใต้ชื่อ “เครือข่ายโรงเรียนเด็กไทยฟันดีลำไพล” จึงร่วมกับเทศบาลตำบลลำไพลและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ โดยมี กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลเทพา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลลำไพล และคลินิกเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชนศูนย์ 3 จัดทำโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อการสร้างเสริมพฤติกรรมที่ดีในการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กและของตนเองได้อย่างยั่งยืนและเผยแพร่สู่ชุมชนต่อไป
4. วัตถุประสงค์และตัวชี้วัด
- บอกจุดมุ่งหมายในการดำเนินงานโครงการ และสิ่งที่ต้องการให้เกิดผลจากการดำเนินงานโครงการ วัตถุประสงค์นี้จะต้อง เฉพาะเจาะจง วัดได้จริง แสดงโอกาสที่จะเกิดผลสำเร็จ สอดคล้องกับหลักการและเหตุผล ในระยะเวลาที่กำหนด
- ตัวชี้วัด ให้ระบุความชัดเจนว่า เมื่อดำเนินการตามโครงการเสร็จแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบรรลุผลสำเร็จอะไรบ้างและมากน้อยเพียงใด และควรแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมวัดผลได้ และระบุตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการทั้งในระดับผลผลิตและผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
5. กลุ่มเป้าหมาย
6. ระยะเวลาดำเนินงาน
วันเริ่มต้น 02/05/2024
กำหนดเสร็จ 31/12/2024
7. วิธีการดำเนินงาน
- กิจกรรม แสดงขั้นตอนการทำกิจกรรมและกระบวนการดำเนินงาน เขียนให้ละเอียดว่าจะทำอะไร อย่างไร จึงจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่วางไว้ เขียนให้เห็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน
- งบประมาณ ในแต่ละกิจกรรม ขอให้จำแนกรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยละเอียด
หมายเหตุ :
ทุกรายการสามารถถัวเฉลี่ยกันได้
8. ผลการดำเนินงานที่คาดหวัง
ผลจากการดำเนินโครงการท่านคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?1. เด็กก่อนวัยเรียนได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี
2. ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน
3. ชุมชนมีส่วนร่วมและส่งเสริมการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน
4. ผู้ปกครอง ครูผู้ดูแลเด็ก ตลอดจนครูในโรงเรียนเครือข่ายมีทัศนคติที่ดีในการดูแลความสะอาดของช่องปากและฟันของเด็กก่อนวัยเรียนและวัยเรียน