2. ความสอดคล้องกับแผนงาน
3. สถานการณ์
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุ (Aging Society) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 จากการที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีมากเกิน 10% ของประชากรทั้งประเทศ และต่อมาในปี พ.ศ. 2564 ไทยได้ก้าวเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ" (Aged Society) เมื่อสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึง 20% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ จวบจนถึงปัจจุบันและยังคงมีแนวโน้มว่าจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้นทุกปีขณะที่ประชากรวัยทำงานและอัตราการเกิดเด็กกลับลดลง ส่งผลให้กลุ่มประชากรวัยทำงานแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุอย่างไรก็ตามผู้สูงอายุส่วนหนึ่งยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพเพื่อช่วยลดภาระในครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถทำงานได้ แต่การทำงานของผู้สูงอายุอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ลดลง ภาครัฐจึงควรส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของผู้สูงอายุทั้งนี้การคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะขยับเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Super Aged Society) มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 30 ในปี พ.ศ.2576
ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก มีประชากรผู้สูงอายุในปี พ.ศ. 2565 จำนวน 6,203 คน คิดเป็นร้อยละ 15.43 ในปี พ.ศ. 2566 จำนวน 6,554 คน คิดเป็นร้อยละ 16.36 และในปี 2567 จำนวน 6,585 คน คิดเป็นร้อยละ 16.47 และมีผู้พิการจำนวน 802 คน ซึ่งมีกลุ่มผู้มีภาวะพึ่งพิง ในปี 2567 จำนวน 112 คน ทั้งนี้ ประเทศไทยเมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงควรมีการเตรียมการเพื่อรองรับ เมื่อมีคนชรา รวมถึงผู้พิการมากขึ้น ส่งผลให้สภาพร่างกายและจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงต้องมีการปรับตัวสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถอยลง ปัญหาด้านสุขภาพก็จะตามมา โดยเฉพาะในโรคยอดฮิตในกลุ่มวัยสูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงคือ หลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือดอัลไซเมอร์และข้อเข่าเสื่อม ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนควรมีการเตรียมการเพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่จะมีเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยได้มีนโยบายสำคัญให้ผู้สูงอายุติดสังคมและกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิง (ติดบ้านติดเตียง) ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมและได้สนับสนุนให้องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) เป็นหน่วยบริหารจัดการพัฒนาระบบระยะยาวเชิงรุกที่บ้าน เพื่อรองรับสถานการณ์ที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมุ่งหวังให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นหน่วยหลักในการบริหารและจัดบริการดูแลระยะยาวฯ เชิงรุกที่บ้าน หรือที่ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชน หรือพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และคนพิการภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายหน่วยบริการประจำในพื้นที่
กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม จึงได้ตระหนักถึงประชาชนในกลุ่มผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงที่ยังไม่ได้รับชุดสิทธิประโยชน์ตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ได้รับสิทธิฯ และเพื่อให้เกิดความควบคลุมในพื้นที่ รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
4. วัตถุประสงค์และตัวชี้วัด
- บอกจุดมุ่งหมายในการดำเนินงานโครงการ และสิ่งที่ต้องการให้เกิดผลจากการดำเนินงานโครงการ วัตถุประสงค์นี้จะต้อง เฉพาะเจาะจง วัดได้จริง แสดงโอกาสที่จะเกิดผลสำเร็จ สอดคล้องกับหลักการและเหตุผล ในระยะเวลาที่กำหนด
- ตัวชี้วัด ให้ระบุความชัดเจนว่า เมื่อดำเนินการตามโครงการเสร็จแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบรรลุผลสำเร็จอะไรบ้างและมากน้อยเพียงใด และควรแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมวัดผลได้ และระบุตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการทั้งในระดับผลผลิตและผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
5. กลุ่มเป้าหมาย
6. ระยะเวลาดำเนินงาน
วันเริ่มต้น 13/01/2025
กำหนดเสร็จ 30/09/2025
7. วิธีการดำเนินงาน
- กิจกรรม แสดงขั้นตอนการทำกิจกรรมและกระบวนการดำเนินงาน เขียนให้ละเอียดว่าจะทำอะไร อย่างไร จึงจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่วางไว้ เขียนให้เห็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน
- งบประมาณ ในแต่ละกิจกรรม ขอให้จำแนกรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยละเอียด
หมายเหตุ :
สามารถถัวเฉลี่ยได้ทุกรายการ
8. ผลการดำเนินงานที่คาดหวัง
ผลจากการดำเนินโครงการท่านคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?1. ผู้สูงอายุมีความรู้ ความเข้าใจ ในการดูแลสุขภาพของตนเองได้ถูกต้อง
2. ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลตามชุดสิทธฺิประโยชน์ตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ